• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พระราชวังกู้กง พระราชวังต้องห้าม

                พระราชวังกู้กง หรือพระราชวังโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระราชวังต้องห้าม” พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงทั้งหมด 24 พระองค์ (ปีคริสต์ศักราช 1368-1911) ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมในฐานะ “พิพิธภัณฑ์พระราชวัง” สิ่งก่อสร้างภายในพระราชวังมีความงดงามเหลืองอร่ามสง่าพร่างพราย และได้รับการขนานนานร่วมกับพระราชวังแวร์ซายส์ของประเทศฝรั่งเศส พระราชวังบักกิงแฮมของประเทศอังกฤษ พระราชวังเครมลินของประเทศรัสเซีย และทำเนียบขาวของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เป็นห้าพระราชวังหลักของโลก


                พระราชวังแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 728 ตารางกิโลเมตร มีตำหนักและห้องหับต่างๆ รวมกันได้ 9,999 ห้อง (เนื่องจากมีความเชื่อว่า พระราชวังของเง็กเซียนฮ่องเต้มี 10,000 ห้อง ดังนั้นฮ่องเต้ซึ่งถือว่าเป็นโอรสสวรรค์จึงสร้างไม่ให้เกินหน้าตาสวรรค์ จึงมีจำนวนห้องที่น้อยกว่า) เริ่มวางแผนก่อสร้างในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นนอกและเขตพระราชฐานชั้นใน


                พระราชฐานชั้นนอกจะมีสามตำหนักหลักอยู่ตรงกลาง คือ ตำหนักไท่เหอ ตำหนักจงเหอ และตำหนักเป่าเหอ ด้านข้างมีตำหนักเหวินหัวและตำหนักอู่อิง พระราชฐานชั้นในมีตำหนักกันชิง ตำหนักเจียวไท่ ตำหนักคุนหนิง และตำหนักตะวันออกกับตะวันตกอีกหกแห่งด้านข้าง


                ตำหนักไท่เหอ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตำหนักจินหลวน ปัจจุบันเป็นสิ่งก่อสร้างซึ่งทำจากไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นตำหนักที่มีความโอ่อ่าสง่างามที่สุดในพระราชวังต้องห้าม เป็นสถานที่ที่จัดพิธีการสำคัญๆ เช่น พิธีขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิ การประกาศพระราชโองการ เป็นต้น


                พระราชวังกู้กงเป็นพระราชวังโบราณที่สร้างอย่างประณีต มีความยอดเยี่ยม มีทรัพย์สินมรดกล้ำค่าที่หาได้ยาก ตำหนักของจักรพรรดิยิ่งใหญ่ตระการตา มีบทบาทในการส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของประเทศในด้านต่างๆ ภายในพระราชวังยังมีศิลปะโบราณล้ำค่าจำนวนมหาศาล เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสิ่งล้ำค่าที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศจีน

ที่มา : หนังสือ ไปเที่ยวมรดกโลกจีนกันเถอะ

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:42:27 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ สถานที่ท่องเที่ยวจีน
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์จีน ฉบับย่อ ตอนที่ 2 : ตำนานการสร้างโลก หนี่ว่าให้กำเนิดมนุษย์ และหนี่ว่าอุดรอยรั่วจากสวรรค์

ตำนานการสร้างโลก

                หลังจากที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียงมาเป็นระยะเวลานาน นับแต่ยุคหินแล้ว แต่ในทางคติความเชื่อของจีน ได้มีการบอกเล่าถึงตำนานการสร้างโลกและการกำเนิดของมนุษย์ที่แตกต่างไปจากความเชื่อของชนชาติอื่นๆ

                จากคัมภีร์ไคเภ็กได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตกาลนับแต่ที่โลกยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น นานแสนนานมาแล้ว จักรวาลไร้ท้องฟ้าและพื้นดินทุกทิศทุกทางล้วนดูเวิ้งว้างมืดมน ทั่วทั้งจักรวาลเหมือนกับไข่ไก่ใบใหญ่ที่ข้างในมีหนึ่งชีวิตกำลังเติบโต ชีวิตนั้นชื่อว่า ผานกู่

                ร่างกายของผานกู่เติบโตขึ้นวันละหนึ่งวา เวลาได้ดำเนินผ่านไปร่วมหนึ่งหมื่นแปดพันปี จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผานกู่ตื่นขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็มองไม่เห็นสิ่งใดเพราะทั่วทุกทิศล้วนแต่มืดมน  ผานกู่รู้สึกอึดอัดในความคับแคนนั้นจึงตั้งปณิฐานว่าจะออกไปจากสถานที่คับแคบแห่งนี้ให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นผานกู่จึงใช้เรี่ยวแรงขยายทั้งสี่ทิศ พยายามที่จะลุกขึ้นยืนโดยใช้พลังงานที่อันมหาศาลที่ได้สะสมมาโดยตลอดเวลาหมื่นแปดพันปีนี้ ผลักไข่ไก่ใบนี้ให้ขยายออกไป กาลนั้นเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วทุกทิศทุกทาง เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งแล้วผานกู่พบว่ารอบตัวเขากว้างขวางขึ้นและมีแสงสว่างเพิ่มขึ้น อีกทั้งธาตุต่างๆ ในธรรมชาติเริ่มมีการขยับขยาย จักรวาลเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ


                อากาศและธาตุต่างๆ ที่เบาเริ่มลอยสูงขึ้น ส่วนพื้นดินหรือธาตุหนังทั้งหลายเริ่มเคลื่อนต่ำลง จนเวลาผ่านไปอีกหลายปี ร่างกายของผานกู่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เขานึกกังวลว่า วนหนึ่งโลกที่เวิ้งว้างว่างเปล่านี้จะกลับมาหลอมรวมกันอีก เขาจึงถอนฟันซี่หนึ่งของตัวเองออกมาและกลายเป็นขวานใหญ่อันหนึ่ง ผานกู่ใช้ขวานผ่าอากาศและธาตุต่างๆ ทั้งหลายให้แยกออกจากกัน จนในที่สุดอากาศยิ่งลองสูงขึ้น พื้นดินก็เริ่มหนักขึ้น อากาศและธาตุหนักถูกผานกู่ผ่าแยกออกจากกัน อย่างที่ไม่มีวันที่จะกลับมาหลอมรวมกันได้อีก

                ผานกู่ตั้งชื่อให้กับอากาศที่อยู่ข้างบนที่ไม่อาจจะตกลงมาได้อีกแล้วว่า “ท้องฟ้า” และเรียกวิ่งที่แข็งและหนาที่อยู่ทางด้านล่างว่า “แผ่นดิน” ในที่สุดภารกิจเบิกฟ้าของผานกู่ก็จบสิ้นลง พร้อมกับชีวิตของผานกู่

                เมื่อผานกู่ล้มลง ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาได้กลายเป็นภาพโครงร่างของแผ่นดินใหญ่ ศรีษะของเขากลายเป็นเขาไท่ซานทางตะวันออก เท้าของเขาได้กลายเป็นเขาหัวซานทางตะวันตก แขนซ้ายกลายเป็นเขาเหิงซานใต้ แขนขวากลายเป็นเขาเหิงซานเหนือ ส่วนลำตัวได้กลายเป็นเขาซงซานทางตอนกลาง

                เลือดของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเล แม่น้ำ ลำธาร ที่ไหลไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขนตามร่างกายได้กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า ตาซ้ายของผานกู่กลายเป็นพระอาทิตย์ ตาขวากลายเป็นพระจันทร์ เส้นผมนับแสนล้านเส้นของเขากลายเป็นดาวดวงน้อยที่เปล่งแสงประกายสวยงามในยามค่ำคืน กระดูกและฟันได้กลายเป็นแร่ธาตุและอัญมณีต่างๆ

                นอกจากนี้ในระหว่างทำการเบิกฟ้ายังได้เกิดสัตว์วิเศษทั้งสี่ขึ้นมาช่วยภารกิจของผานกู่อีก ได้แก่ เต่าดำ มังกรสีฟ้า นกหงส์แดงและกิเลนเขาเดียว ที่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วได้แยกย้ายไปตามทิศทั้งสี่และกลายเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในธรรมชาติอีกด้วย

ตำนานการกำเนิดมนุษย์

                หลังจากที่ผานกู่ได้บุกเบิกฟ้าดินแล้วบนโลกได้ปรากฏเทพธิดาองค์หนึ่ง นามว่า หนี่วา เทพธิดาหนี่วามีลักษณะร่างกายที่มีท่องล่างเป็นงู ท่อนบนเป็นมนุษย์ บางตำนานเล่าว่านางได้อยู่กินกับพี่ชายและได้ให้กำเนิดบุตรทั้งหลายจนกลายเป็นมนุษย์ไปทั่วโลก

                แต่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า เมื่อหนี่วาลงมาจากสรวงสวรรค์มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ในขณะที่นางเที่ยวอยู่บริเวณแม่น้ำฮวงโห นางได้หยิบดินจากในแม่น้ำนั้นมาปั้นเป็นตุ๊กตาเล็กๆ และน่าแปลกที่ตุ๊กตานั้นมีชีวิตขึ้นมา นางได้เรียกสิ่งนี้ว่า “มนุษย์” ซึ่งมีลักษณะผิวสีเหลืองตามลักษณะของดินในแม่น้ำฮวงโหนั้นเอง


                หนี่วาได้พยายามที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา เพื่อที่นางจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป อีกทั้งยังปรารถนาให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หนี่วาได้ใช้ดินปั้นมนุษย์ต่อไปอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและคิดว่าแผ่นดินออกจะกว้างใหญ่จะเติมเต็มได้อย่างไร ขณะนั้นนางได้เหลือบไปเห็นที่ข้างลำธารมีเถาวัลนฺพาดอยู่ นางจึงออกแรงดึงเถาวัลย์นั้นขึ้นออกจากน้ำ เมื่อดึงขึ้นได้ดินที่ติดมากับเถาวัลย์นั้นได้กลายเป็นมนุษย์เล็กๆ ที่ร่าเริง นางได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และสอนให้มนุษย์สืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปตามการจับคู่เพศชายและหญิง และสอนให้เลี้ยงดูรับผิดชอบชีวิตของรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย

                หลังจากที่หนี่วาสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว มวลมนุษย์ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผู้ใหญ่ล่าสัตว์ หุงหาอาหาร ส่วนเด็กๆ ก็วิ่งเล่นรายรอบ เติบโตมีชีวิตต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆดำ มืดครึ้ม เกิดฟ้าร้อง เกิดฟ้าผ่า เสารที่เคยค้ำโลกไว้กลับล้มลงอย่างไม่คาดฝันทำให้แผ่นดินทั้งเก้าแตกแยกออกจากกัน ไฟอันโหดร้ายลุกโชนอย่างไร้หนทางมอด น้ำไหลท่วมเกิดอุทกภัยร้ายแรง อุกกาบาตนับไม่ถ้วนตกลงมายังพื้นโลกป่าไม้ถูกทำลายอย่างมิอาจจะประเมินได้ น้ำท่วมพัดพามนุษย์จำนวนมาก ผู้คนพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด วุ่นวายไปทั่วทุกหนแห่ง สัตว์ดุร้าย งูพิษต่างๆ ถือโอกาสออกมาทำร้ายผู้คน

                หนี่วามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความโศกเศร้าใจ หนี่วาทนมองมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของตนต้องรับเคราะห์กรรมเช่นนั้นไม่ได้ จึงเตรียมที่จะสมานรอยรั่วบนท้องฟ้า

                หนี่วาหาเก็บไม้แห้งมาจากทุกแห่งหน มาวางไว้ตรงรอยแยกของท้องฟ้า ไม้แห้งเหล่านั้นได้ถูกวางกองจนสูงเกือบเสมอท้องฟ้า จากนั้นหนี่วาก็หาหินห้าสีมาเตรียมหลอมไว้ซ่อมแซมท้องฟ้า โดยนำหินที่หามาได้มาวางรวมไว้กับกองไม้แห้งและจุดไฟขึ้นเพื่อหลอมหิวพวกนั้น หินห้าสีได้ถูกไฟเผาติดต่อกันตลอด 81 วัน เมื่อหินห้าสีหลอมเรียบร้อยแล้ว หนี่วานำหินสีเหล่านั้นไปสมานรอยแยกบนฟ้าทีละจุดๆ ซึ่งหินนั้นร้อนมากแต่หนี่วาได้อดทนเพราะไม่อยากให้ลูกหลายทั้งหลายได้รับความลำบาก จากนั้นได้ใช้เถ้าถ่ายจากการหลอมหินสีมาถมทับในที่ที่น้ำท่วม จากนั้นน้ำก็เริ่มเหือดแห้ง ท้องฟ้าเริ่มกลับสู่สภาพเดิม


                หนี่วากังวลว่าฟ้าจะทรุดลงมาอีก จึงนำขาทั้งสี่ของเต่ายักษ์มาค้ำท้องฟ้าแทนเสาค้ำโลก  ในที่สุดท้องฟ้าก็สว่างหมื่นลี้ไร้เมฆบดบัง ทุกอย่างกลับมามีชีวิตชีวา หลังจากมหันตภัยครั้งนั้น ฟ้าดินก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงอีก ต่อมามนุษย์ได้สรรเสริญหนี่วาว่าเป็นมารดาแห่งมนุษยชาติ

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:53:09 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

หมากล้อม เกมกระดานยอดนิยม

                หมากล้อมเป็นเกมกระดานรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหลายประเทศ โดยมีจุดกำเนิดมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 3,000 – 4,000 ปีก่อน และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 4 ศิลปะประจำชาติของจีน ที่ประกอบได้ด้วยหมากล้อม ดนตรี กลอน และภาพ

ภาพการเล่นหมากล้อมในสมัยโบราณ

                มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับจุดกำเนิดของหมากล้อมว่า ในสมัยโบราณพระจักรพรรดิทรงมีองค์ชายอยู่องค์หนึ่งที่เป็นถึงรัชทายาท แต่ขี้เกียจและดูไร้ความสามารถ พระจักรพรรดิทรงวิตกกังวลเป็นอย่างมาก จึงปรึกษากับเหล่าขุนนางเพื่อที่จะหาทางสั่งสอนองค์ชายให้มีความรู้ความสามารถในการเป็นผู้ปกครองในอนาคต ในขณะนั้นมีขุนนางคนหนึ่งเสนอเกมหมากล้อมขึ้น เพื่อใช้สอนในเรื่องความคิดให้กับองค์ชาย แต่เมื่อให้องค์ชายทดลองเล่น ปรากฏว่าองค์ชายไม่ชอบและตัดสินว่าเกมนี้เล่นไม่ยาก แค่ใครเป็นฝ่ายเล่นก่อนก็เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพระจักรพรรดิทรงทราบเรื่องจึงท้อใจและปลดองค์ชายองค์นี้ออกจากตำแหน่งรัชทายาทและหาองค์ชายองค์อื่นมาดำรงตำแหน่งแทน

                ในประเทศจีนจะเรียกหมากล้อมว่า เหวยฉี (圍棋) คำว่า ฉี เป็นคำที่ใช้เรียกเกมกระดานต่างๆ และคำว่า เหวย หมายถึง การล้อม แต่คำเรียกเกมกระดานชนิดนี้ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือคำว่า โกะ ที่เป็นชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่น

                หมากล้อมเป็นที่นิยมในประเทศจีน ในสมัยก่อนผู้ปกครองและแม่ทัพมักนิยมเล่นเพื่อทดสอบและประลองฝีมือทางปัญญากัน เช่นที่เราจะพบเห็นได้ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องต่างๆ เช่น สามก๊ก เป็นต้น ก่อนที่หมากล้อมจะแพร่หลายไปยังสถานที่ต่างๆ และเข้าไปยังประเทศญี่ปุ่น (บางตำราบอกว่าผู้ที่นำไปเผยแพร่คือทูต และบางตำราบอกว่าผู้ที่นำเข้าไปคือพระที่มาศึกษาด้านศาสนาในประเทศจีน)

                หมากล้อมนอกจากจะเป็นการละเล่นเพื่อทดลองปัญญากันแล้ว ยังเข้ากันได้ดีกับแนวคิดเซนที่ญี่ปุ่นยึดถือปฏิบัติ จึงได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น เหล่าชนชั้นสูงต่างก็นิยมเล่นหมากล้อม ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ โชกุน ขุนนาง แม่ทัพ ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีการจัดการแข่งขันเพื่อหาผู้มีความสามารถอยู่เป็นประจำ และเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยโทคุงาวะ หมากล้อมก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก มีการตั้งสำนักการเรียนหมากล้อมถึง 4 สำนัก และเปิดโอกาสให้แต่ละสำนักส่งตัวแทนมาแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งเมย์จิน ที่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงสุด


                แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีช่วงที่หมากล้อมเสื่อมความนิยมไป เนื่องจากพระจักรพรรดิได้มีการสั่งห้ามการละเล่นชนิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รับการฟื้นฟูกลับมาและพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนเมื่อปี พ.ศ. 2522 มีการจัดตั้งสมาคมหมากล้อมนานาชาติขึ้น ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 60 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยเข้าร่วมสมาคมนี้เมื่อปี พ.ศ. 2526

                หมากล้อมได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นการละเล่นที่ส่งเสริมความคิดได้เป็นอย่างดี พัฒนาความสงบ ใจเย็น และการสังเกตรอบข้างได้ดีขึ้น การเล่นหมากล้อมยังเป็นการเรียนรู้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ การรู้จักวางแผนเพื่อให้ได้เปรียบในการละเล่น

                ในประเทศไทยมีการบรรจุหมากล้อมเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง โดยมีสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแล และในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ หมากล้อมยังเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ทำการแข่งขันกันมาโดยตลอด

กติกาการละเล่นหมากล้อม


                การเล่นหมากล้อมมีอุปกรณ์เพียงเม็ดหมากที่แบ่งออกเป็นสีขาวและสีดำ กับกระดานเท่านั้น โดยกระดานที่ใช้ในการละเล่นหมากล้อมเป็นกระดาษที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีการลากเส้นตรงตัดกันหลายเส้น โดยมีขนาดมาตรฐานคือ 19 x 19 (หมายถึง เส้นแนวนอน 19 เส้น และเส้นแนวตั้ง 19 เส้น ที่ลากโดยมีระยะห่างเท่ากันตัดกันทั้งหมด ทำให้เกิดจุดทั้งหมด 361 จุด) และขนาดที่นิยมเล่นกันคือ 13 x 13 และ 9 x 9

                การเล่นเริ่มจากการทายหมาก โดยเป็นการทายว่าใครจะได้ถือหมากดำที่จะเป็นฝ่ายเริ่มเดินก่อน ด้วยการหยิบเม็ดหมากจำนวนหนึ่ง และให้อีกฝ่ายทายว่าเป็นจำนวนคี่หรือจำนวนคู่ หากทายถูกจะได้ถือหมากดำ และหากทายผิดอีกฝ่ายจะได้ถือหมากดำซึ่งจะเป็นฝ่ายเริ่มเดินก่อน การเล่นจะเป็นการผลัดกันวางเม็ดหมากลงบนจุดตัดของกระดาน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

                เม็ดหมากที่วางลงไปจะถือว่ามี 4 ลมหายใจ คือ เส้นที่ลากต่อออกมาทั้ง 4 ทิศ หากโดนอีกฝ่ายล้อมรอบจนหมดถือว่าหมดลมหายใจ และให้นำออกไปเป็นหมากเชลย หากไม่อยากให้ถูกล้อมต้องวางเม็ดหมากต่อจากหมากนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มลมหายใจ ซึ่งอีกฝ่ายที่จะกินหมากชุดนั้นจะต้องบอกเตือนก่อน เหมือนกันกับการบอก “รุก” ในการเล่นหมากรุกของไทย

การเล่นหมากแต่ละกระดานนั้นไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน เกมจะจบลงเมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นว่าไม่มีเม็ดหมากจะเดินต่อได้อีก แต่ในการแข่งขันแบบเป็นทางการนั้นอาจจะมีการกำหนดเวลาขึ้นก็ได้ จากนั้นจะจัดพื้นที่ให้สะดวกต่อการนับ และนำเม็ดหมากเชลยลดพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม และนับพื้นที่จุดตัดของฝ่ายตน โดยกติกาปัจจุบันกำหนดว่า ฝ่ายที่ถือหมากดำจะต้องให้แต้มต่อฝ่ายตรงข้าม 6.5 แต้ม (แล้วแต่กติกาที่กำหนดของแต่ละประเทศ) เนื่องจากฝ่ายที่ถือหมากดำจะได้เดินก่อน และเป็นผู้ที่ได้เปรียบในการเล่น จึงมีกติกานี้ขึ้น หรือเกมอาจจะจบลงเมื่อเห็นว่าไม่สามารถต่อสู้ได้อีกจึงประกาศยอมแพ้

                หมากล้อมมีการแบ่งระดับชั้นความสามารถของผู้เล่น โดยเริ่มจาก “คิว” จากคิวที่มาก เช่น 8 คิว มาจนถึงคิวที่น้อย เช่น 1 คิว โดยยิ่งคิวน้อยก็จะมีความสามารถสูงกว่าผู้ที่มีคิวมาก และเมื่อทำการทดสอบผ่านที่ทางสมาคมแต่ละประเทศกำหนดแล้ว จะได้รับการเรียกระดับชั้นว่า “ดั้ง” โดยเริ่มจาก 1 ดั้ง ไปจนถึง 9 ดั้ง


                การเล่นหมากล้อมหากผู้ที่มีความสามารถแตกต่างกันมากเกินไป สามารถที่จะต่อรองได้โดยผู้ที่มีระดับชั้นต่ำกว่าจะวางเม็ดหมากเพิ่มในตอนเริ่มเกม

                หมากล้อมได้รับการยอมรับให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถเล่นได้ เนื่องจากเป็นการเล่นโดยใช้เพียงความคิดในการต่อสู้ ไม่ใช่ความสามารถทางด้านกายภาพแต่อย่างใด

ขอบคุณภาพจาก

epochtimes.com

guoxue.com

go.yenching.edu.hk

redhooklibrary.org

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 08:53:16 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

จุดกำเนิดเครื่องใช้ไฟฟ้า

                การพัฒนาทางเทคโนโลยีได้ทำให้การใช้ชีวิตในประจำวันของผู้คนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่กว่าที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจะมาเป็นอย่างในปัจจุบันนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาทำความรู้จักกันได้เลยครับ

  • ตู้เย็น

เมื่อปีคริสต์ศักราช 1803 ประเทศสหรัฐอเมริกามีชาวสวนคนหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์ ชื่อว่า โทมัส มัวร์ (Thomas Moore) ฟาร์มของมัวร์อยู่ในย่านชานเมือง เขาต้องเดินทางไกลมากเพื่อนำเนยที่ผลิตเองไปขายในเมือง มัวร์สังเกตเห็นว่าเนยที่ขายอยู่ในตลาดล้วนแต่ละลายกันหมด และดูไม่น่ามองน่าซื้อสักเท่าไร เขาจึงคิดหาวิธีที่จะทำให้เนยของเขาไม่ละลายเหมือนเนยของคนอื่นๆ เขาคิดว่า “วิธีที่ทำให้น้ำแข็งไม่ละลาย” เป็นความคิดที่ผิด และวิธีที่ถูกต้องคือ “วิธีสร้างเครื่องขับไล่ความร้อน” ขึ้นมา


ด้วยเหตุนี้มัวร์จึงวางแผนสร้าง “ตู้เย็น” ขึ้นมา เขานำเนยมาใส่ไว้ในตู้เย็นและเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำไปขายที่ตลาดอย่างเคย ในวันนั้นเองมีแต่เนยของมัวร์เท่านั้นที่สดใหม่และยังแข็งเป็นก้อนอยู่ ลูกค้าจึงหันมาซื้อแต่เนยของมัวร์ เนยของเขาขายดีมากๆ

ไอเดียการสร้างตู้เย็นของมัวร์แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ในปีคริสต์ศักราช 1910 เริ่มมีการผลิตตู้เย็นออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ปีคริสต์ศักราช 1918 บริษัทแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาผลิตตู้เย็นแบบอัตโนมัติขึ้นเป็นครั้งแรก ปีคริสต์ศักราช 1923 มีการผลิตตู้แช่แข็งสำหรับแช่อาหารเป็นครั้งแรก ปีคริสต์ศักราช 1926 บริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้าแห่งหนึ่งผลิตตู้เย็นชนิดคอมเพรสเซอร์แบบปิดสำหรับใช้ในครัวเรือน


ในศตวรรษที่ 20 ช่วงยุค 50 หลายประเทศเริ่มผลิตตู้เย็นสำหรับใช้ในบ้านออกจำหน่าย การเก็บถนอมอาหารจึงสะดวกมากยิ่งขึ้น

  • ไมโครเวฟ

บุคคลแรกที่ริเริ่มใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงอุ่นอาหารคือชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ชื่อว่า เพอร์ซี สเปนเซอร์ (Percy Spenser) วิศวกรของบริษัทแห่งหนึ่ง วันหนึ่งขณะที่สเปนเซอร์กำลังทดลองแมกนีตรอนสำหรับใช้กับระบบเรดาร์อยู่นั้น เขาเห็นช็อกโกแลตที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตัวเองเริ่มละลาย เขาคิดแล้วคิดอีกว่าทำไมช็อกโกแลตถึงละลายได้ ในที่สุดเขาก็พบว่าเป็นเพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงจากแมกนีตรอนนั่นเอง


หลังจากนั้นสเปนเซอร์นำผักและผลไม้มาทดลองบ้าง เขาก็พบว่าทั้งผักและผลไม้ต่างก็ร้อนขึ้น เมื่อสเปนเซอร์ทราบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงสามารถทำให้อาหารร้อนขึ้นได้ เขาจึงผลิตไมโครเวฟเครื่องแรกของโลกขึ้นมาได้สำเร็จ โดยตั้งชื่อเตาชนิดใหม่นี้ว่า “เรดาร์เรนจ์” (Radar Range)

ปีคริสต์ศักราช 1947 ไมโครเวฟที่ใช้ในครัวเรือนเครื่องแรกก็ถูกผลิตขึ้น แต่ไมโครเวฟรุ่นนี้ต้นทุนสูงและเสียง่ายมาก จึงทำให้ขายได้ไม่ดีนัก ต่อมาในปีคริสต์ศักราช 1952 จึงมีการพัฒนารูปแบบใหม่และวางจำหน่ายในราคาที่ถูกลง

นอกจากตู้เย็นและไมโครเวฟแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น เช่น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น ก็มีที่มาและประวัติที่น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากหนังสือชุด พิพิธภัณฑ์ภาพความรู้รอบตัว ตอน ไขปริศนาเทคโนโลยี


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 12:24:36 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้วิทยาศาสตร์
Prev1. . .7 8 9 10 11 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team