• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างและวันกวีจีน เกี่ยวข้องกันอย่างไร??

                วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของสุนทรภู่ กวีเอกที่ได้รับฉายาว่าเป็น “เชคสเปียร์ของเมืองไทย” ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในเดือนมิถุนายนนี้ยังเป็นเดือนของวันกวีจีนอีกด้วย

                ในวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นอีกหนึ่งวันเทศกาลสำคัญของจีน นั้นคือวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หรืออีกชื่อเรียกว่าเทศกาลตวนอู่ เป็นงานเทศกาลเพื่อรำลึกถึงคุดก้วน หรือ ชูหยวน จินตกวีเอกสำคัญของจีน


                ในสมัยจ้านกว๋อ (เลียดก๊ก) ชูหยวน เกิดเมื่อปี พ.ศ. 203 ในรัชสมัยของฉู่ซวนหยาง ด้วยความสามารถ ฉลาดเฉลียว  และความซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ชูหยวนได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมากจากฉู่ไหวหวาง จนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “จั่วถู” ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี


                ชูหยวนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนสร้างให้แคว้นฉู่เจริญรุ่งเรือง ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีมีความสุข โดยคิดที่จะปฏิรูปกฎหมายเสียใหม่ ถึงแม้ว่าในช่วงต้นจะได้รับการสนับสนุนจากฉู่ไหวหวาง  แต่แนวคดิของชูหยวนทำให้ต้องขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจเก่าที่เสียผลประโยชน์ นำโดยจิ้นซ่าง ซึ่งมีสนมคนโปรดของฉู่ไหวหวางหนุนหลังอยู่ โดยพยายามที่จะใส่ร้ายชูหยวนตลอดเวลา จนฉู่ไหวหวางเริ่มไม่สนพระทัยต่อชูหยวนแม้ว่าจะเสนอความคิดที่โดดเด่นสักเพียงใด ทำให้ชูหยวนหมดหวังในการปฏิบัติหน้าที่และใช้เวลาไปกับการแต่งบทกวีมากยิ่งขึ้น

                 แคว้นฉินเองก็มีความคิดที่จะยึดครองแคว้นฉู่ให้ได้ แต่สนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับแคว้นฉีซึ่งชูหยวนสร้างไว้กลับเป็นอุปสรรคในการยึดครอง แคว้นฉินจึงใช้เงินและทองคำติดสินบนจิ้นซ่างและนางเจิ้งสิ้ว แกนนำของกลุ่มอำนาจเก่าที่เป็นศัตรูของชูหยวน ให้ดำเนินการขับไล่ชูหยวนออกจากราชการ และให้ฉู่ไหวหวางดำเนินการประกาศตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉี โดยที่ว่าแคว้นฉินจะมอบดินแดน 600 ลี้เป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่เมื่อฉู่ไหวหวางดำเนินการแล้วแคว้นฉินหาได้ดำเนินการตามที่สัญญาไม่ ฉู่ไหวหวางจึงยกกองทัพบุกแค้วนฉินในปี พ.ศ.231 แต่ก็พ่ายแพ้กลับมา อีกทั้งยังเสียดินแดนไปบางส่วนอีกด้วย

                ทางด้านแคว้นฉีที่ไม่พอใจที่แคว้นฉู่ประกาศตัดความสัมพันธ์จึงยกทัพมายึดครองดินแดนบางส่วนด้วยเช่นกัน แต่ไม่นานจางอี้ได้วางแผนเสนอข้อตกลงให้ฉู่ไหวหวางเดินทางไปเจรจากับฉินอ๋อง ด้วยคำยุยงจากจิ้นซ่างทำให้ถูกกองกำลังแคว้นฉินจับตัว กักขังจนเสียชีวิตในอีกสามปีต่อมา

                เมื่อฉู่ไหวหวางถึงแก่กรรมแล้ว ฉู่ฉิงเซี่ยงหวาง ได้ขึ้นครองราชย์แทน ชูหยวนหวังว่าอ๋องคนใหม่จะโกรธแค้นที่บิดาถูกยุยงจนถูกจับตัว จึงเสนอให้ฉู่ฉิงเซี่ยงหวางลงโทษจิ้นซ่างและพวก แต่กลับเป็นชูหยวนเองที่ถูกลงโทษขับไล่ออกจากราชการและเนรเทศไปอยู่แถวเชียงหนาน ห้ามกลับสู่เขตเมืองหลวงอีกต่อไป

                ขณะนั้นเป็นปี พ.ศ. 247 ชูหยวนมีอายุได้ 48 ปี เมื่อถูกเนรเทศ ชูหยวนได้ประพันธ์บทกวีต่างๆ มากมาย ที่แสดงถึงความคิดทางสังคมและการเมือง รวมถึงปณิธานของชูหยวนเองที่มีต่อประเทศชาติ เช่น จี๋ซ่ง, จิ่วเกอ, หลี่เซ่า, เทียนเวิ่น เป็นต้น

                ในปี พ.ศ. 265 ขณะที่ชูหยวนอายุได้ 66 ปี หยิ่งตูเมืองหลวงของแคว้นฉู่ถูกแคว้นฉินเข้ายึดครองได้เป็นผลสำเร็จ ชูหยวนได้แต่งบทกวี อายหยิ่ง (สมเพชหยิ่งตู) ขึ้น บทกวีชิ้นนี้มีเนื้อหาแสดงความโศกเศร้าที่ต้องสิ้นชาติ และ เส้อเจียง, ซือหว่างยือ และ หวนซา จากนั้นเขาได้อุ้มก้อนหินก้อนใหญ่และกระโดดลงสู่แม่น้ำมี่หลอเจียง เมื่อวันที่ 5 เดือน 5 ปีเดียวกัน

                ชูหยวนเป็นกวีและขุนนางที่ประชาชนรักเพราะยืนหยัดเคียงข้างประชาชนเรื่อยมา เมื่อทราบข่าวที่ชูหยวนกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว ชาวประมงในแถบนั้นต่างก็พากันออกเรือเพื่อไปค้นหาศพ และเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเล็กปลาน้อยมาแทะกินศพ จึงเอาข้าวปลาอาหาร โยนลงน้ำ แต่ก็หาศพของซูหยวนไม่พบ ในปีต่อมาชาวบ้านก็มาโยนอาหารเช่นนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงชูหยวน เมื่อทำไปได้ 2 ปี มีชาวบ้านในละแวกนั้นฝันเห็นชูหยวนในชุดอันสวยงาม มาบอกว่าที่ชาวบ้านโยนอาหารนั้น เขาขอบคุณเป็นอย่างมากแต่อาหารที่ส่งมานั้นถูกปลาเล็กปลาน้อยกินไปหมดแล้ว เหลือถึงชูหยวนเพียงเล็กน้อย ชาวบ้านได้ถามกลับไปว่าให้ทำอย่างไร ชูหยวนบอกว่าให้นำข้าวห่อในใบไม้แล้วโยน เพื่อเป็นการหลอกปลาว่าเป็นเพียงต้นไม้ จะไม่แทะกิน ในปีต่อมาเขาก็ยังมาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่า เขาได้รับอาหารมากขึ้นแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ถูกแทะกิน เขาจึงบอกให้ชาวบ้านออกเรือเป็นรูปมังกร เพื่อหลอกว่าเป็นการนำมาถวายเทพเจ้ามังกร ปลาทั้งหลายจะได้ไม่แทะกิน


                ดังนั้น เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง จึงเป็นเทศกาลที่ชาวจีนจัดขึ้นทุกปี เพื่อรำลึกถึงการจากไปของกวีเอกของจีน นามว่า ชูหยวน โดยการใช้อาหารที่ห่อด้วยใบไม้ หรือที่เรียกว่า บ๊ะจ่าง ซึ่งเป็นอาหารคาวที่ทำด้วยข้าวเหนียวนำมาผัดน้ำมัน มีไส้หมูเค็มหรือหมูพะโล้ กุนเชียง ไข่เค็มเฉพาะไข่แดง กุ้งแห้ง เห็ดหอม เป็นต้น ห่อด้วยใบไผ่แล้วนึ่งให้สุก นอกจากนี้ ในเทศกาลดังกล่าวบางพื้นที่ยังจัดให้มีการแข่งเรือมังกรขึ้นด้วย

ขอบคุณภาพจาก

062745588.tw.tranews.com

http://commons.wikimedia.org/wiki/File:EN-WarringStatesAll260BCE.jpg

stuweb.zjhzyg.net

search.lotour.com  

                

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:31:22 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป ประวัติศาสตร์จีน วัฒนธรรม
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พระพุทธศาสนาบนแผ่นดินจีน

                พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู ซึ่งประเทศจีนมีผู้นับถือพระพุทธศาสนามากที่สุดถึงเกือบ 400 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้นับถือพระพุทธศาสนามากที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราส่วนจำนวนประชากร

                พระพุทธศาสนาในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นนิกายมหายาน ซึ่งมีประเพณี คำสอน และหลักความเชื่อที่แตกต่างจากนิกายเถรวาท เช่น เถรวาทเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว แต่มหายานเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลเปรียบเสมือนเม็ดทรายบนชายหาด หรือการปรับกฏระเบียบต่างๆ และความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ แต่โดยเนื้อแท้แล้วทั้งสองนิกายก็มุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ แสวงหาการหลุดพ้น


                ในพุทธศตวรรษที่ 6 ได้มีการก่อตั้งนิกายมหายานอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะเผยแพร่เข้าสู่ประเทศจีน โดยมีหลักฐานว่าเริ่มเข้าสู่ประเทศจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อจักรพรรดิเม่งเต้ส่งคณะฑูดจำนวน 18 คน เพื่อไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศจีน เมื่อเดินทางกลับได้พาพระกาศยปมาตังคะและพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งกลับมาด้วย เมื่อมาถึงจักรพรรดิเม่งเต้ได้สถาปนาวัดแป๊ะเป้ยี่หรือวัดม้าขาวขึ้น เพื่อเป็นที่อาศัยของพระทั้งสองรูป โดยตั้งชื่อวัดว่า ม้าขาวเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าขาวที่บรรทุกพระคัมภีร์มา


                ในช่วงแรกยังเป็นการนับถือกันในวงแคบ มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังคนนับถือตามหลักลัทธิขงจื้อหรือลัทธิเต๋าอยู่ จนเมื่อโม่งจื้อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถได้แสดงให้เห็นถึงความจริงของพระพุทธศาสนา จึงทำให้มีผู้คนเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก

                การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในยุคนั้นยังเป็นไปอย่างไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับพระจักรพรรดิว่าให้ความนับถือศาสนาใด เมื่อมาถึงสมัยราชวงศ์เหนือ-ราชวงศ์ใต้ พระโพธิธรรมหรือที่คนไทยรู้จักในชื่อของ หลวงจีนตั๊กม้อ


ซึ่งเป็นพระสังฆปรินายก องค์ที่ 28 ที่เชื่อกันว่าสืบต่อมาจากพระมหากัสสปะในสมัยพุทธกาล ได้จาริกมายังประเทศจีน และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิเหลียงหวู่ตี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นองค์ศาสนูปถัมภกที่สำคัญของจีน แต่ภายหลังที่ท่านได้แสดงธรรมและสนทนาธรรมแล้ว ก็รู้ว่าองค์จักรพรรดิมิอาจที่จะเข้าใจธรรมขั้นสูงได้ เพราะความเชื่อในสมัยนั้นเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นเพียงการทำบุญ สร้างวัดวาอาราม และการพิมพ์พระคัมภีร์แผยแพร่เท่านั้น (ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้จักรพรรดิที่ไม่ดี รวมถึงขุนนางกังฉิน ขูดรีดเงินจากประชาชนว่าเพื่อเป็นการทำบุญ) พระโพธิธรรมได้เดินทางจากมาจนถึงวัดเส้าหลิน ณ ภูเขาซงซาน เขตแดนของราชวงศ์เว่ยเหนือ และสถาปนาแนวคิดทางฌานขึ้น (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า เซน) นอกจากนี้มีตำนานเล่าว่าเมื่อท่านนั่งสมาธินานๆ จึงรู้สึกปวดเมื่อยและทำให้การทำสมาธิไม่ต่อเนื่อง จึงสังเกตท่าทางของสัตว์ต่างๆ เช่น นกกระเรียน เสือ และนำมาฝึกเป็นวิชาต่อสู้ (บางแนวคิดเชื่อว่าเพื่อฝึกไว้ต่อต้านผู้ที่ไม่หวังดี และผู้ที่เสียผลประโยชน์) ภายหลังจึงเกิดแนวคิดการถ่ายทอดตำแหน่งผ่านทางจีวรและบาตร

                ในสมัยราชวงศ์สุย ภิกษุเสวียนจั้ง นามเดิมว่า เหี้ยนจัง ได้ออกบวชตามพี่ชายทั้งสองและเกิดความรู้สึกว่าพระคัมภีร์ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีที่ไม่เข้าใจหรือแปลคลาดเคลื่อนอยู่มาก จึงออกจาริกเดินทางเพื่อไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย


โดยพระเสวียนจั้งออกเดินทางไปกลับเป็นระยะทางกว่า 50,000 ลี้ และศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น โดยใช้เวลากว่า 19 ปี ท่านได้จดบันทึกการเดินทางไว้ตลอดซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ก่อนที่จะอัญเชิญพระไตรปิฏกกลับมาและดำเนินการแปล การกลับมาของท่านได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากจักรพรรดิถังไท่จง พระองค์พระราชทานแซ่ให้ โดยเรียกกันว่า “พระถังซำจั๋ง” ซึ่งต่อมามีผู้นำเรื่องราวการเดินทางของท่านไปแต่งเป็นนวนิยายเรื่อง ไซอิ๋ว ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสี่วรรณกรรมชั้นยอดของจีน


                พระพุทธศาสนานั้นอยู่คู่กับแผ่นดินจีนมาโดยตลอด มีการสร้างวัดวาอารามต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นวัดหลวงและวัดราษฏร์ บางช่วงที่พระจักรพรรดิสนับสนุนพระพุทธศาสนาก็เจริญขึ้นสลับกับลัทธิอื่นๆ จนมาถึงสมัยสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังโจมตีและลดบทบาทอีกด้วย มีการนำวัดวาอารามไปใช้เป็นที่ทำการ สถานที่ราชการ จนพระอาจารย์ไท้สู ได้ริเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และมีการก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนขึ้น จึงเริ่มมั่นคงขึ้นในระดับหนึ่ง

                เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งหลักการดังกล่าวขัดกับพระพุทธศาสนาหลายประการ แต่ในช่วงแรกศรัทธาของประชาชนยังมีมาก ทางรัฐบาลจึงไม่ใช้ความรุนแรง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการออกมาตรการหลายอย่างบีบบังคับให้พระภิกษุต้องลาสิกขา ริบทรัพย์สินวัดวาอารามเพื่อเป็นสถานที่ราชการ และยิ่งเลวร้ายขึ้นเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2509-2512  ที่รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลาสิกขา พระคัมภีร์ต่างๆ ถูกเผา พระพุทธรูปและวัดถูกทำลายไปเป็นอันมาก ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ทำให้พระพุทธศาสนาเกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีนจนกระทั่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อ ตุง ถึงแก่อสัญกรรม รัฐบาลใหม่จึงค่อยคลายความเข้มงวดลง และให้เสรีภาพในการนับถือศาสนามากขึ้นจนถึงปัจจุบัน

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 13:50:40 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน ความรู้ทั่วไป
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขอเชิญร่วมงานสัมมนา "การดูแลสุขภาพแบบแพทย์แผนจีน" ในวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม 2556

                ในวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ทางบริษัท นานมี จำกัด และ สำนักพิมพ์ทองเกษมขอเรียนเชิญทุกท่านที่มีความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพ เข้าร่วมสัมมนาหัวข้อ “การดูแลสุขภาพแบบแพทย์แผนจีน” โดย นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล จะมาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่คนในปัจจุบันเสี่ยงที่จะเป็นแต่ยากที่จะตรวจพบ การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่จะทำให้เกิดโรค และการดูแลรักษาที่จะต้องดูแล 7 ส่วน และการรักษา 3 ส่วน ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสำรองที่ได้ที่เบอร์ 0-2648-8000 ติดต่อ คุณป๊อก ต่อ 1128 ครับ


                ในปัจจุบันเป็นที่รู้โดยทั่วว่าสมุนไพรทั้งไทยและจีนมีสรรพคุณที่ดีในการรักษาโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง, เบาหวาน, ความดัน เป็นต้น ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่สมุนไพรนั้นต่างมีอยู่ด้วยกันหลากหลายมากมาย ประกอบกับมีมิจฉาชีพนำสมุนไพรปลอมมาออกขาย ทำให้การรักษาไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าจะเลือกซื้อสมุนไพรอย่างไรให้ได้ประสิทธิผลที่ดี


จะเลือกซื้อสมุนไพรจีนที่ปลอดภัยได้ที่ไหน

                เมื่อต้องการเลือกซื้อยาสมุนไพรจีน ควรไปที่ร้านขายยาจีนที่มีใบอนุญาตเภสัชกร หรือร้านที่ประกอบการโดยแพทย์จีนที่มีใบประกอบโรคศิลป์จึงจะปลอดภัย พยายามอย่าไปซื้อยาตามข้างทางที่ไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัด

                ในกรณีที่ซื้อแบบยกห่อ ชั่งเป็นกิโลกรัม หรือครึ่งกิโลกรัม ควรสังเกตให้ดีว่าบนบรรจุภัณฑ์นั้นมีรายละเอียดของชื่อยา น้ำหนักยา วันที่บรรจุ วันหมดอายุ โรงงานที่ผลิต ที่อยู่ของโรงงานและวิธีเก็บรักษาที่ถูกต้องไว้หรือไม่ หากมีตรงตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นยาที่ถูกต้องตามข้อกำหนด

                ในกรณีที่ซื้อแบบปลีก ห่อบรรจุของยาจะถูกแกะออกมาแล้ว ทำให้เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดที่ห่อบรรจุได้ ดังนั้นเราต้องสังเกตให้ดีว่าตัวยานั้นขึ้นรา หรือมีแมลงมากัดกินหรือไม่ พยายามอย่าซื้อตามแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว หรืออย่าซื้อตอนไปเที่ยวต่างประเทศ เนื่องจากจะมีพ่อค้าหัวหมอคอยฉกฉวยโอกาสทางการค้า มาหลอกขายอยาปลอมหรือยาที่ไม่มีคุณภาพ


จะเลือกซื้อสมุนไพรจีนที่มีคุณภาพได้อย่างไร

                ในกรณีที่ซื้อจากร้านค้าที่ได้มาตรฐานแล้วนั้น เหตุการณ์การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสมคงมีให้เห็นน้อย การเลือกยาบำรุงส่วนมากจะเลือกใช้ยาตามสภาพร่างกายของแต่ละคน เช่น ผู้ที่มีร่างกายมีความร้อนแห้งจัด แล้วต้องการมาซื้อตัวยา หงเซิน (โสมแดง) ซึ่งโสมแดงจะมีฤทธิ์ยาที่ร้อน ทางหมอจีนหรือเภสัชกรที่ร้านขายยาก็จะให้คำแนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นซีหยางเซิน (โสมอเมริกัน) หรือ ตั่งเซิน จะดีกว่า เป็นต้น

                ส่วนตัวยานั้น ควรเลือกตัวยาที่แห้ง ไม่อับชื้น ไม่มีเชื้อรา รอยหั่นสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยกัดกินของแมลงจะถือว่าดี ตัวยาบางชนิดก็ควรระมัดระวังให้ดีว่ามีการอบกำมะถันมาก่อนหรือไม่ เช่นตัวยา ซันเย่า, ไป่เหอ ตัวยาเหล่านี้หลังจากผ่านกรรมวิธีแล้ว ส่วนมากจะนำไปอบกำมะถันก่อนเพื่อความสะดวกในการเก็บรักษา ดังนั้นก่อนที่จะนำมาใช้ควรนำไปตามแดดประมาณ 1-2 วันเสียก่อน


จะหลีกเลี่ยงการเลือกใช้ยาผิดหรือยาปลอมได้อย่างไร

                โดยปกติแล้วคนธรรมดาทั่วไปยากที่จะแยกแยะยาจริงหรือปลอมออกได้ด้วยตาเปล่าโดยเฉพาะยาที่ผ่านการหั่นมาแล้ว ดังนั้นควรเลือกซื้อยาสมุนไพรจีนตามร้านขายยาที่เชื่อถือได้หรือหากไม่แน่ใจในตัวยาจริงๆ สามารถทำตัวยานั้นๆ ไปปรึกษาแพทย์แผนจีนที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ เพื่อความปลอดภัยในการเลือกใช้ยาสมุนไพร

ที่มา


หนังสือ รู้เลือกรู้ใช้ 100 สมุนไพรจีน

แพทย์จีน นพ. ภาสกิจ วัณนาวิบูล

สำนักพิมพ์ทองเกษม

                

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:53:24 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนที่ 2

                พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อแตกหักกับพรรคก๊กมินตั๋งแล้ว ได้เริ่มปฏิบัติการช่วงชิงพื้นที่และฐานสนับสนุนจากประชาชน ในช่วงแรกพรรคคอมมิวนิสต์ยึดหลักการตามอย่างโซเวียต โดยการปลุกระดมกรรมกร แต่ก็ได้รับการต่อสู้จากพรรคก๊กมินตั๋งอย่างดุเดือดและต้องประสบกับความพ่ายแพ้อยู่บ่อยครั้ง โจวเอินไหลเคยที่จะลอบเข้าไปในเซี่ยงไฮ้เพื่อปลุกระดม แต่ทำไม่สำเร็จ กลับกันทางด้านของเหมาเจ๋อตุงที่มองว่าการปลุกระดมกรรมกรเป็นสิ่งที่ผิดทาง สำหรับประเทศจีนแล้วควรที่จะปลุกระดับเหล่าเกษตรกรมากกว่า

                การดำเนินการในช่วงแรกนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าไร เพราะยังคงมีการแตกแยกกันภายในกลุ่มผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ โดยแบ่งออกได้เป็นสายโซเวียตและสายจีน จนกระทั่งในที่ประชุมพรรคครั้งหนึ่งได้มีการจัดการลงเสียงเพื่อเลือกผู้นำพรรค ซึ่งโจวเอินไหลได้ให้การสนับสนุนเหมาเจ๋อตุงจนเป็นหัวหน้าพรรคได้ในที่สุด และอยู่เคียงข้างกันมาจนถึงวาระสุดท้าย


                การต่อสู้ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคก๊กมินตั๋งดำเนินต่อมา ถึงแม้ว่าการรุกรานจากญี่ปุ่นจะเข้ามาโดยตลอด แต่ว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋งก็หาได้ใส่ใจ พรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงจึงได้เริ่มการเดินทัพครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1934 จากผู้ร่วมเดินทางในช่วงต้นกว่า 100,000 คน ผ่านดินแดนทุรกันดารมากมายจนในที่สุดเหลือเพียง 30,000 คน จนเมื่อมีนายทหารคนหนึ่งจับตัวนายพลเจียงไคเช็คซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีไป เพื่อบีบให้ทำสัญญาสงบศึกและร่วมมือกันขับไล่ญี่ปุ่น พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคก๊กมินตั๋งจึงได้ร่วมมือกันขับไล่ญี่ปุ่นออกไปได้สำเร็จและเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง


                หลังจากการช่วงชิงหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์สามารถมีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งที่ต้องถอยร่นไปอยู่ที่ไต้หวัน และประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 โดยเหมาเจ๋อตุงเป็นประธานาธิบดี และโจวเอินไหลเป็นนายกรัฐมนตรี


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:49:22 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน
Prev1. . .3 4 5 6 7 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team