• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

Lost in Thailand

                ช่วงปลายปีของแต่ละปีถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของการฉายภาพยนตร์ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องต่างใช้ช่วงเวลานี้ในการฉายภาพยนตร์ของตน และสามารถกอบโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ในปี ค.ศ. 2012 ได้มีอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ทุนสร้างไม่มากนัก เพียงแค่ 30 ล้านหยวน แต่สามารถที่จะมีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านหยวน พร้อมกับตำแหน่งภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดอันดับหนึ่งที่เคยมีมาของประเทศจีน


                อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศจีนอาจจะยังเติบโตไม่มากนัก หากเทียบกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศตะวันตก แต่ก็มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่ประเทศจีนมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยิ่งส่งผลให้รายได้ของการฉายภาพยนตร์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนภาพยนตร์ของจีนโดยมากแล้วมักจะเป็นภาพยนตร์ที่เน้นภาพอลังการ บทที่หนัก แฝงไปด้วยปรัชญา แต่ภาพยนตร์ Lost in Thailand ได้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ในประเทศจีนใหม่หมด

                ภาพยนตร์ Lost in Thailand กำกับโดยสวีเจิง และยังแสดงเป็นตัวละครนำของเรื่องอีกด้วย ร่วมด้วยหวังเป่าเฉียงที่แสดงได้สมบทบาทและสร้างเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี นอกจากจะได้รับรายได้ที่มากเป็นประวัติการณ์แล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand ยังได้รับคะแนนวิจารณ์ในด้านที่ดีอีกด้วย โดยมีผู้กล่าวว่า จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การนำเสนอที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงการที่ไม่มีการใช้มุขคำหยาบเพื่อสร้างความตลก และยังแฝงเรื่องราวที่น่าประทับใจให้แก่ทุกคนในครอบครัว


                เรื่องราววุ่นๆ เรื่องนี้เริ่มจากที่สวีเจิงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีน ได้พบเจอคำทำนายที่ว่าโลกจะแตกเมื่อสิ้นปี ค.ศ. 2012 จึงคิดที่จะออกท่องเที่ยวทิ้งท้ายโดยเลือกที่จะมาเยือนประเทศไทย เพื่อหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ต่างไปจากที่เคยรู้จัก เมื่อเขามาถึงสนามบินก็ทำให้ได้รู้จักกับหวังเป่าเฉียง ชายหนุ่มที่มีความรักให้กับดาราสาวซูเปอร์สตาร์และหวังที่จะถ่ายรูปร่วมกัน เมื่อทั้งคู่ได้พบกันก็พบว่า ความซวยได้เข้ามาหาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการทำสิ่งของต่างๆ เช่น เงิน บัตรเครดิต และพาสปอร์ตหาย ทำให้ทั้งคู่ต้องออกเดินทางร่วมกันในที่สุด

                การเดินทางของทั้งสองได้พบเจอกับเรื่องราวแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เช่น การนั่งรถสามล้อ สีสันของรถแท็กซี่ ภาพของรถจักรยานยนต์ที่ขี่กันอย่างแน่นหนา และที่สำคัญคือ การเข้าใจผิดว่าสาวประเภทสองคือสาวแท้เพราะความสวยงาม


                หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ได้เกิดกระแสบอกเล่าแบบปากต่อปาก จนทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 มากยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่อง Titanic 3D ที่ทำรายได้ 976 ล้านหยวน และเป็นภาพยนตร์จีนเรื่องแรกที่สามารถทำรายได้ระดับพันล้านหยวน และยังมีผลทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก นั่นคือ การได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปยังต่างประเทศ

                จากสถิติพบว่า จังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางในเรื่อง มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมายังจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มมากกว่า 3 เท่า เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

                ยอดการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีมาก สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาล จากแต่ก่อนที่นักท่องเที่ยวชาวจีนรู้จักแต่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างพระบรมมหาราชวัง  พัทยา เป็นต้น แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่รอให้ไปค้นหาอีกเป็นจำนวนมาก

                โดยเฉพาะสาวประเภทสองของไทยที่เป็นสีสันของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้มีการบอกต่อกันไปว่า สาวประเภทสองของไทยนั้นสวยงามยิ่งกว่าสตรีแท้ๆ เสียอีก จากคำกล่าวนี้ทำให้มียอดผู้ชมที่มาชมการแสดงของสาวประเภทสองมีเพิ่มมากขึ้น  และทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากอีกครั้ง

                ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand นั้นยังสามารถจะเพิ่มรายได้มากยิ่งขึ้น และหากสามารถนำไปเผยแพร่ยังประเทศยุโรป ก็อาจจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกให้มาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นแน่


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 15:43:01 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป วัฒนธรรม
วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เทพนาจา

                ชาวจีนมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าที่สืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว เทพเจ้าหลายองค์มีที่มาจากตำนานเรื่องเล่าต่างๆ หรือมีที่มาจากบุคคลที่มีอยู่จริงและได้ทำคุณงามความดีจนได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าในภายหลัง เช่น เทพเจ้ากวนอู ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์

                เทพเจ้าที่เป็นที่รู้จักกันดีโดยเฉพาะเด็กๆ นั้นคือ เทพเจ้านาจา เทพเจ้าที่เป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์ มีกองกำลังทหารในอารักขากว่า 33,000 นาย มีหน้าที่ปกป้องสวรรค์และกำราบเหล่าภูตผีปีศาจ จึงเป็นที่เคารพของผู้คนเป็นอย่างมาก กำเนิดของเทพเจ้านาจามีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน เช่น จากหนังสือ “ห้องสิน สถาปนาเทวดาจีน” ที่เป็นเรื่องราวของการทำศึกสงครามและอิทธิฤทธิ์ต่างๆ จนกลายเป็นตำนานที่บอกเล่าถึงการกำเนิดของเทพเจ้าทั้งหลายของจีน โดยในตำนานเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ซาง แม่ทัพหลี่จิ้งเป็นแม่ทัพของราชสำนัก ต้องไปออกศึกเป็นเวลานาน ก่อนออกศึกฮูหยินฮั่นสีได้ตั้งครรภ์บุตรคนที่ 3 แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่คลอดเสียทีจนเวลาผ่านไปนานกว่า 1 ปี กับ 6 เดือน (บางตำนานเล่าว่า 3 ปี กับ 6 เดือน) เมื่อแม่ทัพหลี่จิ้งกลับมาก็แปลกใจ ประกอบกับฮูหยินฮั่นสีเจ็บท้องคลอดพอดี แต่เมื่อคลอดแล้วก็สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะที่คลอดออกมาไม่ใช่เด็ก แต่เป็นก้อนเนื้อสีแดง แม่ทัพหลี่จิ้งโกรธมาก เพราะคิดว่าเป็นปีศาจจำแลงกายมา จึงเอาดาบฟันไปที่ก้อนเนื้อนั้นและก้อนเนื้อก็แตกออก กลายเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีผ้าสีแดงพันกายพร้อมกับถือห่วงทองมาด้วย


                แม่ทัพหลี่จิ้งได้ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า นาจา โดยมีพี่ชายอีก 2 คน คือ จินจา และ มู่จา เด็กน้อยนาจาเติบโตรวดเร็วกว่าเด็กอื่น อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล และมีนิสัยซุกซนเป็นอย่างมาก จนวันหนึ่งนาจาได้ชวนเพื่อนไปเล่นน้ำทะเล ระหว่างเล่นน้ำก็ได้สะบัดผ้าแดงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ทำให้น้ำทะเลสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก และสะเทือนไปยังวังบาดาลของมังกรเจ้าสมุทรตงไห่ (ทะเลใต้) เจ้าสมุทรตงไห่จึงส่งทหารออกมาลาดตะเวนว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพบว่านาจาเป็นตัวการที่ทำให้น้ำทะเลปั่นป่วนจึงคิดที่จะสังหารเสีย แต่นาจาใช้พละกำลังที่มหาศาลฆ่าทหารได้ เจ้าชายแห่งวังมังกรรู้สึกว่าทหารออกไปนานแล้วแต่ทำไมยังไม่กลับมาจึงขึ้นไปดู และพบนาจาที่กำลังเล่นน้ำอยู่จึงสอบถามว่าเห็นทหารของตนหรือไม่ นาจาตอบไปว่าได้สังหารไปแล้ว เจ้าชายโกรธมากจึงแปลงกายเป็นมังกรและคิดที่จะล้างแค้นให้ทหารของตน แต่นาจาก็สามารถที่จะเอาชนะและสังหารเจ้าชายมังกรได้ จากนั้นได้ถอดกระดูกสันหลังของมังกรและคิดที่จะนำกลับไปให้บิดาเพื่อทำเป็นเสื้อเกราะ

                เมื่อเจ้าสมุทรตงไห่ทราบว่าบุตรชายของตนถูกสังหารก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก จึงบุกไปหาแม่ทัพหลี่จิ้งเพื่อทวงถามเกี่ยวกับเรื่องที่นาจาสังหารบุตรชายของตน และคิดที่จะไปฟ้องเง็กเซียนฮ่องเต้ แต่นาจารู้เรื่องเสียก่อนจึงไปขัดขวางและเสกให้เป็นงูเขียว ทำให้พญาเต่ามังกรบิดาของเจ้าสมุทรตงไห่โกรธแค้นมาก จึงยกทัพมาหมายจะทำลายล้างเมืองของแม่ทัพหลี่จิ้งและบันดาลให้เกิดเหตุเภทภัยร้ายแรงหลายอย่าง ทำให้แม่ทัพหลี่จิ้งต่อว่าและคิดที่จะสังหารนาจา เพื่อชำระแค้นและเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับชาวเมือง นาจาจึงน้อยใจใช้มีดเฉือนเนื้อคืนแม่เลาะกระดูกคืนพ่อ

                เมื่อนาจาตายแล้ววิญญาณได้ไปเข้าฝันฮูหยินฮั่นสี บอกให้มารดาไปสร้างศาลเจ้าสักการะเพื่อที่ตนจะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อศาลเจ้าสร้างเสร็จได้มีผู้คนมาบูชาเป็นจำนวนมาก จนข่าวรู้ไปถึงแม่ทัพหลี่จิ้งที่โกรธแค้นนาจา จึงได้ไปทำลายศาลเจ้าพร้อมกับบอกว่า “นาจาเป็นปีศาจร้ายสร้างแต่ความวุ่นวาย ทำไมยังมาบูชาอีก” ซึ่งเป็นการสร้างความโกรธแค้นให้แก่นาจาเป็นอย่างมาก วิญญาณของนาจาไม่มีที่ไปจึงไปหาเซียนซือจุน เซียนซือจุนเห็นว่านาจาเป็นผู้มีบุญที่สวรรค์ส่งลงมาเกิดเพื่อช่วยดับภัยสงคราม จึงได้คืนชีวิตให้กับนาจา โดยการใช้รากบัวมาต่อแทนร่างกายและเสกให้วิญญาณมีชีวิตดังเดิม


                หลังจากที่นาจามีชีวิตกลับคืนมาแล้วได้ไปช่วยเหลือเจียงจือหยา แม่ทัพใหญ่ของแคว้นโจว เพื่อทำศึกสงครามปราบปีศาจร้ายที่กัดกินราชสำนักซาง ในระหว่างรบนาจาต้องทำศึกกับแม่ทัพหลี่จิ้ง แต่สวรรค์ไม่อยากให้พ่อลูกทำร้ายฆ่าฟันกันเอง อาจารย์ของนาจาจึงมอบเจดีย์ที่สามารถกักขังผู้คนได้ให้กับแม่ทัพหลี่จิ้งเพื่อใช้ต่อกรกับนาจา จนในที่สุดทั้งสองสามารถปรับความเข้าใจกันได้ และแม่ทัพหลี่จิ้งก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพของแคว้นโจว ในการออกรบนาจาจะแสดงกายเป็น 3 เศียร 6 กร เข้าต่อสู่กับศัตรู

                ในที่สุดกองทัพของแคว้นโจวสามารถเอาชนะราชสำนักซางได้ และตั้งราชวงศ์โจวขึ้นมา หลังจากนั้นเจียงจือหยาได้ทำการแต่งตั้งผู้คนทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามให้ได้รับตำแหน่งต่างๆ รวมถึงนาจาและหลี่จิ้งที่ได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์อีกด้วย

                สำหรับประเทศไทยนั้นมีศาลเจ้าที่สักการะเทพนาจาเป็นจำนวนมาก โดยรูปสักการะมักเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก เท้าเหยียบที่กงล้อไฟ ในมือถือหอกอัคคี และมีผ้าสีแดงพันอยู่รอบตัว โดยหลักการแล้วมักจะไม่บูชาเทพนาจาและเทพหลี่จิ้งกับเทพมังกรไว้ในสถานที่เดียวกันเพราะถือว่าเป็นอริกัน


                ในนวนิยายเรื่องไซอิ๋ว เทพนาจามีบทบาทเป็นหนึ่งในเทพที่ออกมาต่อกรกับซุนเห้งเจียในตอนต้นเรื่องอีกด้วย โดยในศึกครั้งนั้นหลี่จิ้ง ได้รับตำแหน่งแม่ทัพที่ยกกองกำลังสวรรค์มาปราบซุนเห้งเจีย ถึงแม้ว่านาจาจะพ่ายแพ้แต่ก็สามารถต่อกรได้ในระดับหนึ่ง

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:50:20 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ไซอิ๋ว ตำนานเทพ
วันที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2556

จุดกำเนิด ปาท่องโก๋

                แป้งที่นำมาจับคู่และทอดในน้ำมันที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อของ “ปาท่องโก๋” เป็นอาหารยอดนิยมที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาหารมื้อเช้า หลายคนมักจะรับประทานพร้อมกับโจ๊กอุ่นๆ หรือกินคู่กับกาแฟร้อนๆ สักแก้ว ก็ทำให้มื้อเช้านั้นกลายเป็นมื้อที่อร่อยได้ สำหรับชาวจีนแต้จิ๋วแล้วจะเรียกอาหารชนิดนี้ว่า “อิ่วจาก้วย” ชาวจีนฮกเกี๊ยนจะเรียกว่า “อิ่วเจี่ยโก้ย” และภาษาจีนกลางเรียกว่า “โหย๋วเที๋ยว”


                ความเป็นมาของอาหารชนิดนี้ย้อนกลับไปในสมัยซ่งใต้ แม่ทัพงักฮุยเป็นแม่ทัพที่ซื่อสัตย์ มีความเก่งกาจและมีความสามารถในด้านการรบเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาดังกล่าวแผ่นดินจีนต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากชนเผ่าต่างๆ ที่สร้างดินแดนของตนเองพร้อมกับยกทัพเข้ามาแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรตลอดเวลา  อีกทั้งราชสำนักซ่งยึดคติรวมอำนาจทหารเข้ามาที่ศูนย์กลาง เน้นที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๋ ทำให้กองทัพอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อแม่ทัพงักฮุยสามารถที่จะต่อสู้และขับไล่ข้าศึกออกไปได้ ทำให้ประชาชนยกย่องเป็นอย่างมาก


                แต่การที่มีความสามารถโดดเด่นย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น โดยเฉพาะขุนนางกังฉินที่มีชื่อว่า ฉินข้วย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ภรรยาของฉินข้วยจึงได้เสนอแนะแผนการณ์ให้สามีไปยุยงฮ่องเต้ให้เกิดความไม่มั่นใจ คิดว่าแม่ทัพงักฮุยคิดไม่ซื่อ จึงเรียกตัวกลับมาจากชายแดน และใส่ร้ายป้ายสีแม่ทัพจนถูกประหารชีวิตในที่สุด

                เนื่องจากประชาชนมีความรักในตัวแม่ทัพงักฮุยเป็นอย่างมาก จึงพากันโกรธแค้นและสาปแช่งฉินข้วยและภรรยา แต่ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรทั้งสองได้ ดังนั้นประชาชนจึงนำแผ่นแป้งมาประกบคู่กันและนำลงไปทอดในน้ำมัน พร้อมกับสาปแช่งสามีภรรยาคู่นี้ไปด้วย โดยเรียกอาหารชนิดนี้ว่า อิ๋วจาก้วย ที่มีความหมายว่า น้ำมันทอดฉินข้วย และสร้างรูปปั้นฉินข้วยและภรรยาในท่าทางคุกเข่าต่อหน้าสุสานของแม่ทัพงักฮุย


                แต่สาเหตุที่คนไทยเรียกอาหารชนิดนี้ว่า ปาท่องโก๋ เป็นเพราะว่าในสมัยก่อนร้านที่ขายอิ๋วจาก๊วยนั้นมักจะขายแป้งทอดราดน้ำตาลที่เรียกว่า ปาท่องโก๋ ด้วย จึงเกิดการสับสนและจำผิดว่า ปาท่องโก๋ หมายถึง อิ๋วจาก๊วย นี้เอง แต่ในจังหวัดทางภาคใต้ยังมีอยู่บ้างที่เรียกตามชื่อเดิมว่า อิ๋วจาก๊วย

                ในประเทศไทยนอกจากจะรับประทานเปล่าๆ หรือรับประทานกับโจ๊กหรือกาแฟแล้ว ยังนิยมรับประทานคู่กับนมข้นหวานหรือสังขยาด้วย ซึ่งก็อร่อยและเหมาะที่จะเป็นของหวานได้เช่นกัน

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:44:50 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ อาหารจีน
วันที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์จีน ฉบับย่อ ตอนที่ 1 : ยุคก่อนประวัติศาสตร์

                นับจากอดีตกาลที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลก ด้วยสาเหตุที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันของมนุษย์ในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการขุดค้นพบในปัจจุบันจะพบว่ามนุษย์ในยุคสมัยแรก มักที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ เพราะว่าสะดวกต่อการเพาะปลูกและการดำรงชีวิต ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าแหล่งอารยธรรมโบราณมักตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ เช่น อารยธรรมไอร์คุปต์ที่ตั้งบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนส์ อารยธรรมเมโสโปเตเมียที่ตั้งบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส และอารยธรรมจีนที่ตั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง

                แต่ในปัจจุบันมีเหลืออารยธรรมเดียวที่สืบทอดมาจากอดีตได้ ถึงแม้ว่าในทุกวันนี้อียิปต์ยังคงตั้งอยู่แต่กลุ่มวัฒนธรรมประเพณีได้สูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่เพียงอารยธรรมจีนที่ยังคงสืบต่อเนื่องมาได้จนถึงปัจจุบัน

                นักประวัติศาสตร์แบ่งยุคสมัยออกเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ โดยยึดหลักการจดบันทึกเป็นเกณฑ์ และในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังแบ่งออกได้อีก ตามเครื่องมือเครื่องใช้ในแต่ละยุคได้แก่ ยุคหินและยุคเหล็ก

ถ้ำโจวโข่วเตี้ยน แหล่งขุดค้นทางประวัติศาสตร์

                ในแผ่นดินจีนนั้นมีหลักฐานทางโบราณคดีค้นพบว่ามีหลักฐานการตั้งรกรากในบริเวณนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยการค้นพบที่โจวโข่วเตี้ยนเป็นแห่งขุดค้นทางโบราณคดีมนุษย์วานรที่รู้จักกันดีในชื่อของมนุษย์ปักกิ่งที่อาศัยอยู่เมื่อ 18,000-11,000 ปีก่อนคริสตกาล ในแห่งขุดค้นนี้นอกจากจะพบซากของมนุษย์ปักกิ่งแล้วยังค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้อีกมากกว่าหมื่นชิ้น รวมที่เป็นการค้นพบที่สำคัญคือการค้นพบกองขี้เถ้าที่เป็นหลักฐานว่ามนุษย์ปักกิ่งมีการใช้ไฟมาก่อนที่คาดการณ์กว่าหมื่นปีอีกด้วย

หน้าตาของมนุษย์วานร มนุษย์ปักกิ่ง

               นอกจากนี้ยังมีการค้นพบแหล่งโบราณคดีในสถานที่อื่นๆ อีกตามมา เช่น แหล่งวัฒนธรรมยาวเชา ที่ตำบลยางเชา มณฑลเฮอหนาน หรือที่แหล่งวัฒนธรรมลุงซาน มณฑลซานตุง เป็นต้น แต่ในยุคแรกยังเป็นการรวมตัวกันไม่มาก โดยที่ช่วงเวลาเหล่านี้กินเวลานานหลายพันปีก่อนที่จะเริ่มพัฒนาเป็นวัฒนธรรมที่ชัดเจนในเวลาต่อมา

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:43:38 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน
Prev1. . .8 9 10 11 12 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team