• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตราหยก พระราชลัญจกร

                ตราหยกประจำแผ่นดินนี้มีตำนานว่าจัดทำขึ้นตามรับสั่งของจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นตราสืบทอดตำแหน่งตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฉินต่อมาทุกรัชกาล ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวสี่นิ้ว ด้านบนสลักเป็นรูปห้ามังกรมีอักษรสลักว่า “รับโองการสวรรค์ ทรงพระเจริญนิรันดร” หมายถึงสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ได้รับบัญชาจากสวรรค์มีอำนาจอย่างถูกต้องชอบธรรม


                ตามตำนานของตราดังกล่าว เปี้ยนเหอได้พบนกหงส์ทำรังที่ก้อนหินใหญ่ ณ ภูจิงศาน เมื่อขุดก้อนหินนั้นลงได้พบหยกชิ้นงาม จิ๋นซีฮ่องเต้สั่งให้ช่างแกะสลักฝีมือเลิศแกะสลักเป็นตราพระราชลัญจกร โดยมีหลี่ซือเป็นผู้คิดถ้อยคำ


                ในนวนิยายสามก๊ก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกศักราชชีผิงปีที่ 6 อ้วนเสี้ยวขุกเข้าวังฆ่าพวกขันทีต๋วนกุยขันทีใหญ่คุมตัวฮ่องเต้หนีออกจากวัง ตราหยกนี้ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงรัชสมัยเหี้ยนเต้อันมีตั๋งโต๊ะทำการอุบาทว์ ซุนเกี๋ยนนำทัพบุกเข้าถึงเมืองหลวง มีทหารเห็นรัศมีแวววาวเปล่งแสงสีสายรุ้งเบญจรงค์ออกจากบ่อแห้งแห่งหนึ่ง ซุนเกี๋ยนจึงได้คนลงไปงม ในบ่อพบศพหญิงชาววังที่กระโดดลงไปฆ่าตัวตายที่คอของนางมีกล่องผูกห้อยไว้กล่องหนึ่ง ในกล่องนั้นคือตราหยกประจำแผ่นดิน ซุนเกี๋ยนดีใจมากที่ได้ของล้ำค่า ต่อมาตรานี้ได้สืบถึงมือของซุนเซ็ก แล้วถูกอ้วนสุดใช้อุบายชิงไป เมื่ออ้วนสุดตายแล้ว โจโฉได้กุมราชันบัญชาขุนนาง ชีจิ๋วเป๋ง เจ้าเมืองโลกั๋งได้นำตราหยกดังกล่าวไปไว้ที่เมืองฮูโต๋ ตราหยกนี้จึงกลับมาอยู่กับราชวงศ์ฮั่นอีกครั้งหนึ่ง

ซุนเกี๋ยน พบจุดจบด้วยลูกธนู

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:16:15 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ สามก๊ก เหตุการณ์
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์จีน ฉบับย่อ ตอนที่ 3 : ผู้นำยุคตำนาน

                การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในอดีตจะคำนึงถึงความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตและความปลอดภัย ดังนั้นมนุษย์จะอยู่อาศัยเป็นชุมชน และหากเป็นสังคมเกษตรกรรมมักจะตั้งถิ่นฐานบริเวณใกล้กับแม่น้ำ เพราะสะดวกต่อการทำการเพาะปลูก ซึ่งชุมชนในระยะแรกของจีนก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ เป็นชุมชนเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำ

ฝูซี

                ผู้นำของชุมชนในระยะแรกที่เป็นที่ยกย่องคือ ฝูซี ในยุคนั้นฝูซีได้พยายามสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ จนสามารถใช้ประโยชน์แก่ตนเองและชาวบ้านได้ ตำนานเล่าว่า วันหนึ่งฝูซีได้พบเห็นกิเลนกระโจนขึ้นมาจากแม่น้ำฮวงโห บนหลังของกิเลนมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้น ฝูซีได้จดจำสัญลักษณ์นั้นและกลายเป็นที่มาของสัญลักษณ์เลข 8 (โป๊ยก่วย)


                ในยุคสมัยนั้นมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร แต่ก็ไม่อาจจะจับได้ตามที่ต้องการนัก ฝูซีได้เห็นใยแมงมุมจึงคิดที่นำเชือกมาสานเป็นแหเพื่อใช้จับปลา ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขมากยิ่งขึ้น

แต่เนื่องจากในยุคสมัยนั้นยังไม่มีตัวอักษร ชุมชนจีนก็เป็นการรวบรวมชนเผ่าต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยแต่ละเผ่าจะมีสัญลักษณ์ของตนเอง ส่วนมากเป็นพวกสัตว์ต่างๆ เมื่อชุมชนขยายเพิ่มขึ้น สัญลักษณ์ของเผ่าต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก และยังทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก ดังนั้นฝูซีจึงดำริที่จะรวบรวมสัญลักษณ์ของชนเผ่าต่างๆ ไว้ด้วยกัน กลายเป็นสัตว์ที่ชื่อว่า มังกร และกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชนชาติจีนมาจนถึงปัจจุบัน


เหยียนตี้

                หลังจากยุคสมัยที่ฝูซีเป็นผู้นำแล้ว มีผู้นำอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคือ เหยียนตี้ เขาเป็นหัวหน้าเผ่าแซ่เจียงเมื่อ 5,000 ปีก่อน เขาร่วมทำไร่ไถ่นากับชาวบ้าน และพบว่าการทำการเกษตรกรรมมีความยากลำบากเป็นอย่างมาก จึงได้คิดประดิษฐ์คันไถด้วยไม้ และสอนให้ผู้คนรู้จักการทำไร่ไถ่นาเพื่อปลูกข้าว

                เขาเสาะหาพืชพันธุ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการออกตระเวนเดินป่าเขาเพื่อค้นหาพืชพันธุ์ต่างๆ ที่สามารถกินได้โดยใช้ตนเองเป็นผู้ทดลอง ทำให้หลายครั้งที่เจอพืชที่มีพิษจนต้องล้มป่วยเป็นระยะเวลาหลายวัน จากประสบการณ์เหล่านี้เขาได้จดบันทึกเป็นหนังสือเกี่ยวกับยาสมุนไพร ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นตำราทางการแพทย์เล่มแรกของโลก

                เขายังเป็นผู้ริเริ่มประเพณีการดื่มชา จากตำนานเล่าว่า เขาจะดื่มแต่น้ำที่ต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่กำลังต้มน้ำอยู่ใต้ต้นชาในป่า ลมได้พัดใบชาร่วงหล่นลงไปในน้ำที่กำลังเดือดพอดี เมื่อเขาทดลองดื่มก็พบว่ามีรสชาติที่ดีมาก อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ทำให้เป็นที่นิยมและบอกต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

                เขายังเป็นผู้ที่ปรับปรุงสัญลักษณ์เลข 8 ที่ฝูซีคิดค้นขึ้น จนกลายเป็นแผนภูมิ 64 ที่สามารถนำมาใช้ในการบันทึกเหตุการณ์และการเสี่ยงทาย  นอกจากนี้เขายังสังเกตว่า บางคนต้องการสิ่งของที่ตนเองผลิตไม่เป็น แต่บางคนกลับมีมากเกินความต้องการ เขาจึงเสนอให้ประชาชนรู้จักการนำสิ่งของไปแลกเปลี่ยนและได้พัฒนาจนกลายเป็นการค้าขายในเวลาต่อมา เขาได้รับการยกย่องให้เป็นเสินหนง ซึ่งแปลว่า เทพกสิกรรม


หวงตี้

                ในช่วงเวลาเดียวกันกับเหยียนตี้ มีผู้นำของชนเผ่าอีกชนเผ่าหนึ่งที่มีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นคือ หวงตี้ เมื่อเขาเป็นหัวหน้าชนเผ่าได้พบว่า ชาวบ้านสามารถเก็บของป่าได้มากมาย แต่การขนย้ายกลับทำได้ยากลำบาก หลังจากสังเกตเห็นลูกสนที่มีลักษณะกลมสามารถกลิ้งได้ เขาจึงคิดประดิษฐ์ล้อขึ้น เมื่อนำมาติดเข้ากับแกนกล่อง ก็ทำให้สามารถขนย้ายสิ่งของได้สะดวกยิ่งขึ้น และสามารถนำสัตว์มาผูกเพื่อใช้ในการขนย้ายไปยังที่ไกลๆ ได้อีกด้วย เขาจึงเรียกสิ่งนี้ว่า “เกวียน”

                หลังจากประดิษฐ์เกวียนได้แล้ว เขาก็พบว่า การเดินทางยังไม่สะดวกมากนัก ยิ่งการที่มีแม่น้ำคั่นอยู่ก็ทำให้การเดินทางไม่สะดวกมากขึ้น เขาสังเกตพบว่า ต้นไม้สามารถที่จะลอยน้ำได้ จึงนำท่อนไม้มาลอยน้ำ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อขุดไม้ออกเป็นโพรงก็สามารถเดินทางได้สะดวกมากขึ้น

                เมื่อการเดินทางทำได้สะดวกมากขึ้น การติดต่อระหว่างเผ่าของเขาและเหยียนตี้ก็มีเพิ่มมากขึ้น และทำให้เกิดการขัดแย้งที่นำไปสู่การปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมให้แก่กัน จนเกิดศึกสงครามขึ้นในที่สุด หลังจากการทำสงครามของทั้งสองเผ่า ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ในที่สุดเผ่าของเขาก็สามารถที่จะเอาชนะเผ่าของเหยียนตี้ได้ ทำให้ทั้งสองเผ่าได้รวมเป็นหนึ่งเดียว และเขาได้เป็นผู้ปกครองคนแรกของแผ่นดิน ซึ่งผู้ปกครองในยุคต่อๆ มาได้นำชื่อของเขาไปตั้งเป็นตำแหน่งผู้ปกครอง  หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในชื่อของ ฮ่องเต้ อีกทั้งชื่อของเขายังแปลว่า พระเจ้าเหลือง ดังนั้นสีประจำองค์ฮ่องเต้จึงเป็นสีเหลือง

ห้ากษัตริย์

                หลังจากหวงตี้สามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวและขยายอิทธิพลออกไปมากขึ้น ระบบสังคมของแผ่นดินจีนในยุคนั้นเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ระบบการปกครองในยุคสมัยนั้น ผู้นำจะมาจากการคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งเริ่มจากหวงตี้ จวนซู่ ตี้คู้ ถังเหยา และอี๋ซุ่น โดยแต่ละคนต่างก็มีความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันไป และไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข ผู้คนอยู่ด้วยความสงบร่มเย็น จนเมื่ออี๋ซุ่นชราก็มอบสมบัติต่อให้กับหยู และเมื่อหยูชราก็คิดที่จะส่งต่อให้กับอี้เป็นผู้ปกครองคนต่อไป แต่ว่าฉี่ที่เป็นบุตรชายของหยูไม่พอใจ จึงวางแผนลอบสังหารอี้ ก่อนที่จะใช้อำนาจแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิและสถาปนาราชวงศ์ของตนขึ้นมา และถือเป็นราชวงศ์แรกของประวัติศาสตร์จีน คือ ราชวงศ์เซี่ย นอกจากนี้ยังเปลี่ยนรูปแบบการสืบอำนาจไปเป็นระบบพ่อให้ลูก

               

                

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:08:59 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เฒ่าจันทรา ... ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก

                วันวาเลนไทน์เป็นเทศกาลแห่งความรักของชาวคริสต์และเป็นวันระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ จากตำนานกล่าวไว้ว่า นักบุญวาเลนไทน์เป็นนักบวชศาสนาคริสต์ ในช่วงนั้นการนับถือศาสนาคริสต์ยังเป็นเรื่องต้องห้ามและเป็นช่วงระหว่างสงครามทำให้มีกฎว่าห้ามชายหญิงทำการแต่งงานกันเพราะจะทำให้ขาดกำลังรบ แต่นักบุญวาเลนไทน์ได้แอบทำการสมรสให้กับหนุ่มสาวเหล่านั้น จึงถูกจับและประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ชาวคริสต์จึงถือให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันแห่งความรักที่ชายหญิงจะแสดงออกถึงความรักซึ่งกันและกัน


                แต่หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับความรักของชาวจีนแล้วคงจะนึกถึง “ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงคู่แท้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถังมีชายคนหนึ่งนามว่า “เหวยกู่” บัณฑิตหนุ่มรูปงามมีฐานะ ได้เดินเที่ยวเล่นในตัวเมืองจนไปพบกับชายแก่คนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือประหลาดอยู่ เหวยกู่จึงเข้าไปพูดคุยเพื่อสอบถามว่าอ่านหนังสืออะไรอยู่ ชายแก่ได้ตอบกลับว่ากำลังอ่านตำราการแต่งงานของชาวโลก เหวยกู่รู้สึกไม่เชื่อคิดว่าเป็นชายแก่เสียสติ


                แท้จริงแล้วชายแก่คนนั้นคือ “เฒ่าจันทรา” มีหน้าที่เป็นพ่อสื่อชักนำคนรักให้กับมนุษย์โลก โดยจะเป็นผู้ผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วของชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กัน และเมื่อผูกแล้วหากถึงเวลาจะได้แต่งงานกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายเพียงใดก็ตาม ด้ายแดงที่ว่านี้จะล่องหน มีเพียง “เฒ่าจันทรา” เท่านั้นที่เห็น โดยด้ายนี้อาจจะมีการผูกปมเพื่อให้พบรักกันเร็วขึ้นก็เป็นได้ หรือหาก “เฒ่าจันทรา” เห็นว่าความรักนี้ไม่เหมาะสมก็จะใช้ “กรรไกรตัดวาสนา” ตัดด้ายแดงออกทำให้หมดสิทธิ์รักกัน

                เหวยกู่รู้สึกสนใจจึงถาม “เฒ่าจันทรา” ไปว่า แล้วคู่ครองของตนเป็นคนอย่างไร เฒ่าจันทราได้พาเหวยกู่ไปหาเนื้อคู่ แต่ทิศทางที่ไปไม่ได้ไปยังชุมชนของคนมีฐานะ หากแต่ไปยังตลาดเก่าแห่งหนึ่ง และเฒ่าจันทราได้ชี้ให้เหวยกู่ดูเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมที่เป็นลูกสาวของแม่ค้าในตลาด พร้อมกับบอกว่า “นั่นแหละคือเนื้อคู่ของเจ้า” ก่อนที่จะหายตัวไป

                เหวยกู่รู้สึกโมโหมากเมื่อรู้ว่าคู่ครองของตนเป็นเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมม เมื่อกลับถึงบ้านจึงจ้างให้คนรับใช้ในบ้านไปสังหารเด็กน้อยคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเหวยกู่สอบได้เป็นจอหงวน พร้อมกับเจ้าเมืองได้ยกลูกสาวให้เป็นคู่ครอง ชีวิตกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และคิดว่าคำบอกเล่าของเฒ่าจันทราเป็นเรื่องโกหก

                หลังจากครองคู่กันได้ระยะหนึ่ง เหวยกู่ก็สังเกตว่าที่หน้าผากของภรรยามีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ จึงถามนางว่าคืออะไร นางได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริงแล้วนางไม่ได้เป็นลูกสาวของเจ้าเมือง หากแต่เป็นลูกของแม่ค้าจนๆ ในวัยเด็กมีชายคนหนึ่งใช้มีดกรีดหน้าของตนแล้วจากไป และเจ้าเมืองผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรับอุปการะตนเป็นลูกสาว เมื่อฟังจบเหวยกู่ได้ตามคนรับใช้ที่จ้างให้ไปสังหารมา คนรับใช้ได้สารภาพว่า เขาไม่อาจทำใจสังหารเด็กน้อยคนนั้นได้ จึงเพียงใช้มีดกรีดหน้าเป็นสัญลักษณ์ไว้เท่านั้น

                เมื่อเหวยกู่ทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ทำให้เขารู้ว่าที่เฒ่าจันทราบอกไว้เป็นความจริง จึงทำการขอขมาภรรยาและแม่ของนาง ก่อนที่จะครองรักกันไปอย่างมีความสุข


                ส่วนรูปลักษณ์ของเฒ่าจันทรานั้นเป็นชายแก่ผมยาวสีขาว ไว้หนวดเครายาวสีขาวเหมือนเส้นผม ชอบนั่งอยู่บนก้อนหิน มือหนึ่งถือด้ายแดง อีกมือหนึ่งถือไม้เท้าที่แขวนตำราคู่ครอง สะพายย่ามที่ข้างในบรรจุด้ายแดงไว้ หากใครที่ยังไม่พบเนื้อคู่ ก็ขอให้ด้ายแดงนำพาคู่ครองมาเจอในเร็ววันนะครับ


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 08:39:07 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ตำนานเทพ
วันที่ 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"ซินเจิงหยูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย" สุขสันต์วันตรุษจีน

                วันปีใหม่ของแต่ละชาติล้วนเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่ผู้คนจะออกมาเฉลิมฉลองกัน เช่น เทศกาลวันปีใหม่สากล เทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นวันปีใหม่ของชาวไทย สำหรับชาวจีนแล้วเทศกาลตรุษจีนถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญที่ชาวจีนจะออกมาเฉลิมฉลองกันเป็นจำนวนมาก และมีการเดินทางกลับภูมิลำเนากว่า 100 ล้านคน

ภาพการเดินทางกลับภูมิลำเนา

                ไม่มีการบันทึกไว้ว่า ชาวจีนเริ่มต้นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนตั้งแต่เมื่อไร แต่ในสมัยราชวงศ์โจว (ชุนชิว-จ้านกว๋อ) ก็มีการเฉลิมฉลองแล้ว โดยสมัยก่อนจะมีการเฉลิมฉลองที่เรียกว่า “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เพื่อเป็นการฉลองที่สิ้นสุดฤดูหนาวที่ทำการเพาะปลูกลำบากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เพื่อเป็นสัญญาณว่าจะเริ่มทำเกษตรกรรมได้อีกครั้งนั่นเอง

โดยวันตรุษจีนจะตรงกับวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจีนโบราณ เมื่อนำมานับตามหลักสากลคือ ปฏิทินสุริยคติ จะทำให้วันตรุษจีนของแต่ละปีไม่ตรงกัน โดยจะอยู่ประมาณปลายเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2556 นี้ วันตรุษจีนจะตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์

                ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้คนต้องไปทำงานยังต่างถิ่น จึงถือเป็นธรรมเนียมว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนของแต่ละปี ผู้คนที่ไปทำงานยังต่างถิ่นต้องเดินทางกลับถิ่นฐานเพื่อร่วมกินข้าวกับทางบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกปี เราจะพบข่าวว่า ชาวจีนกว่าร้อยล้านคนออกเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาของตน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถไฟ เรือ หรือแม้แต่เครื่องบิน ซึ่งการเดินทางกลับนี้นับเป็นระยะเวลากว่า 40 วัน เลยทีเดียว

                ธรรมเนียมของเทศกาลตรุษจีนบางแห่งจะเฉลิมฉลองกันเป็นเวลากว่า 15 วัน โดยแต่ละวันจะมีพิธีกรรมที่ต่างกันไป แต่ที่เน้นความสำคัญคือ ก่อนวันตรุษจีนจะมีพิธีส่งเทพเจ้าเตาไฟกลับสวรรค์ เพราะชาวจีนเชื่อกันว่า เทพแห่งเตาไฟเป็นเทพที่ใกล้ชิดกับผู้คนในบ้านมากที่สุด มีหน้าที่จดบันทึกพฤติกรรมต่างๆ ของคนในบ้านและไปรายงานให้สวรรค์รับรู้ จึงมีการเซ่นไหว้เพื่อให้เทพเจ้าเตาไฟรายงานแต่สิ่งที่ดีงามของครอบครัว สวรรค์จะได้มอบสิ่งที่ดีกลับมา

                “วันจ่าย” คือวันก่อนวันตรุษจีน เป็นวันที่ผู้คนจะออกมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ และวัตถุดิบที่จะนำไปประกอบอาหารสำหรับการเซ่นไหว้ในวันตรุษจีน และจะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาด เพื่อให้สิ่งที่ไม่ดีออกไปจากบ้านเรือนของตน

                “วันไหว้” เป็นวันที่มีพิธีกรรมการไหว้สักการะเทพเจ้าและบรรพบุรุษ เพื่อขอให้ช่วยคุ้มครองคนในบ้านให้มีแต่ความสุขและความเจริญ โดยจะไหว้ด้วยสิ่งของมงคลที่มีความหมายดีๆ เช่น หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ไก่ หมายถึง ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็ด หมายถึง ความมั่งคั่ง เป็นต้น ส่วนตอนเย็นจะเป็นการรวมญาติ ซึ่งจะไปรวมกันที่บ้านของผู้อาวุโสของตระกูล เพื่อร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีการไหว้ “ไท่สิ้งเอี้ย” หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ เพื่อขอพรให้มีโชคลาภเข้ามาตลอดปี

                “วันเที่ยว” หรือวันตรุษจีนนั่นเอง เป็นวันที่ห้ามพูดคำไม่ดี ต้องมีความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่แสดงอารมณ์โกรธ เพราะจะไม่เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ในวันนี้จะห้ามใช้กรรไกรหรือสิ่งของมีคมต่างๆ เพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดมงคลของตัวเอง และจะเป็นวันเที่ยวของหลายคน โดยการไปเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่ ซึ่งจะนำส้มไปมอบให้ 4 ผล ผู้รับจะนำส้มออก 2 ผล และนำของตัวเองอีก 2 ผล รวมเป็น 4 ผล กลับคืนแก่ผู้ให้ เพื่อเป็นการเสริมโชคลาภให้แก่กันและกัน


                สิ่งหนึ่งที่เด็กหลายคนเฝ้ารอคอยให้วันตรุษจีนมาถึงก็คือ “อั่งเป่า” โดยคู่บ่าวสาวที่ออกเรือนแล้วจะมอบเงินใส่ในซองแดงให้แก่ผู้ใหญ่และเด็กๆ เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีความเชื่อมาจากในสมัยก่อนที่ผู้คนยังใช้เงินตราเป็นเหรียญที่ห้อยอยู่ข้างตัว การให้เด็กห้อยเหรียญ 100 เหรียญข้างตัวเป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายมาเข้าสิง และได้พัฒนามาเป็นการมอบเงินใส่ในซองแดงแทน เป็นการให้เพื่อการอวยพร เช่น ผู้ใหญ่ให้อั่งเป่าแก่เด็กเพื่ออวยพรให้เติบโตอย่างแข็งแรง หรือให้คนวัยทำงานเพื่ออวยพรให้ชีวิตการทำงานมั่นคงและเจริญก้าวหน้า เป็นต้น

                โดยคำอวยพรที่ใช้ในวันตรุษจีนนี้จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ที่ประเทศไทยนิยมใช้กันคือ “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” (ออกเสียงตามภาษาจีนแต้จิ๋ว) แปลว่า “ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่”

                สุดท้ายนี้ขอให้คุณผู้อ่านมีแต่ความสุข ความเจริญ โชคลาภเงินทองไหลมาเทมาครับ

ขอบคุณภาพจาก

www.uncommonwisdomdaily.com

www.chinainternetwatch.com 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 14:32:46 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม
Prev1. . .6 7 8 9 10 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team