• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิชากำลังภายใน นิยายหรือเรื่องจริง

                เมื่อพูดถึงภาพยนตร์หรือละครจีนแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนจะนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ประลองยุทธ์ด้วยวิชากำลังภายใน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายเรื่องที่สร้างมาจากนิยายกำลังภายใน ชื่อของวิชาต่างๆ ก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น 18 ฝ่ามือพิชิตมังกร ลี้น้อยมีดบิน ประทับไม่ตาย เป็นต้น รวมถึงสำนักวิชาต่างๆ เช่น วัดเส้าหลิน สำนักบู๊ตึ้ง พรรคกระยาจก และลัทธิเม้งก่า เป็นต้น

                ในความเป็นจริงแล้วหลายเรื่องเป็นเพียงการแต่งเพื่อความสนุกสนานของผู้ประพันธ์ แต่มีอีกหลายส่วนที่มีอยู่จริง เช่น วัดเส้าหลิน เป็นวัดที่มีอยู่จริง สถาปนาโดยพระโพธิธรรม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ “หลวงจีนตั๊กม้อ”

โดยสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1038 เมื่อพระโพธิธรรมปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ พบว่าร่างกายมีความเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ท่านจึงสังเกตกิริยาท่าทางของสัตว์และนำมาคิดเป็นท่าออกกำลังกาย เช่น ฝ่ามือนกกระเรียน กรงเล็บพยัคฆ์ มีการตั้งข้อสังเกตว่า การฝึกวิชาของพระวัดเส้าหลินมีขึ้นเพื่อป้องกันการทำร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการชิงศรัทธาของประชาชน

                อีกสำนักหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ สำนักบู๊ตึ้ง ก่อตั้งโดยนักพรตเตียซำฮง นักบวชในลัทธิเต๋า มีตำนานเล่าว่า ท่านมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี โดยได้คิดค้นวิชาการฝึกกำลังภายในเพื่อการรักษา และคิดค้นวิชาการต่อสู้ที่ใช้หลักการของหยิน-หยาง ซึ่งกลายมาเป็นวิชาไทเก๊กที่โด่งดังในปัจจุบัน


                พรรคกระยาจกเป็นเรื่องจริงที่มีสมาคมของกลุ่มขอทาน โดยรวมตัวกันเพื่อปกป้องซึ่งกันและกัน รวมถึงกีดกันผู้ที่มาใหม่ โดยผู้นำอาจจะมีฐานะร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้รับการยกย่องจากทางสังคม

                ลัทธิเม้งก่า ในสมัยราชวงศ์หยวนที่ชาวมองโกลปกครองประเทศ ลัทธิที่มีที่มาจากดินแดนเปอร์เซียได้เข้ามาเผยแพร่ลัทธินี้ โดยการบริจาคอาหารให้แก่ประชาชนที่อดอยาก ทำให้ได้รับแรงศรัทธาเป็นอย่างมาก และมีการรวมกลุ่มกันเพื่อต่อต้านราชสำนัก ซึ่งจูหยวนจางปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงก็เคยเป็นสมาชิกของลัทธินี้ด้วยเช่นกัน

                ในความเป็นจริงไม่ได้มีวิชาการต่อสู้ที่รุนแรงเหมือนในภาพยนตร์ แต่วีรบุรุษชาวจีนหลายคนมีอยู่จริง โดยใช้วิชาการต่อสู้เพื่อป้องกันจากผู้รุกรานต่างๆ และได้มีการนำชีวประวัติของท่านเหล่านี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์อันโด่งดัง เช่น ฮั่วหยวนเจี่ย หวงเฟยหง ยิปมัน เป็นต้น

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:03:11 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์จีน
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

อาหารจีน หลากหลายและน่าลิ้มลอง

                สำหรับชาวไทยแล้ว อาหารจีนคงเป็นอีกหนึ่งในหลายสิ่งที่เราคุ้นเคย เพราะว่าวัฒนธรรมจีนได้เข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะไปยังแห่งหนตำบลใด เราก็สามารถที่จะรับประทานอาหารจีนได้ แต่อาหารจีนในประเทศจีนเองก็มีความหลากหลายตามแต่ละท้องถิ่น เช่นเดียวกับอาหารไทยที่มีความแตกต่างกันตามภูมิภาค

ขอบคุณภาพประกอบจาก th.wilipedia.org

                ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ สภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นจึงแตกต่างกันไปด้วย เช่น ภาคเหนือจะมีอากาศหนาวเย็นมากกว่าภาคใต้ รวมถึงพืชพันธุ์ที่เจริญเติบโตก็ไม่เหมือนกัน ทำให้อาหารจีนในแต่ละท้องถิ่นมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารชนิดเดียวกันก็แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ ซึ่งอาหารจีนในแต่ละท้องถิ่นที่โดดเด่นในสมัยชุนชิว-จ้านกว๋อจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ อาหารเมืองเหนือ กับอาหารเมืองใต้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงได้แยกออกเป็น 4 ประเภทหลัก คือ


  1. อาหารซานตง อาหารถิ่นนี้จะโดดเด่นในด้านความชำนาญในการเผา ต้ม ทอด ผัด เป็นต้น อาหารที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ไก่ผาจีเต๋อโจว และปลาหลีฮื้อแม่น้ำหวงเหอเปรี้ยวหวาน
  2. อาหารกวางตุ้ง จะเด่นในการใช้เครื่องปรุงรสปริมาณมาก ให้ความรู้สึกทั้งสดและนุ่ม อาหารที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ผัดกุ้งสด และลูกหมูย่าง
  3. อาหารเสฉวน จะโดดเด่นขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติเผ็ด ลักษณะพิเศษคือ ใช้น้ำมันมาก มีรสชาติเข้มข้น อาหารที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ เส้นเนื้อรสปลา ไก่หั่นหลายรส และเต้าหู้หมาโผ
  4. อาหารหวายหยาง มีถิ่นอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำหวายเหอ ทางตอนปลายของแม่น้ำแยงซีเกียง พิเศษในด้านการให้ความสำคัญกับการเลือกวัตถุดิบ ในการใช้ไฟ ให้ความสำคัญกับความสวยงามของอาหาร อาหารที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ไก่ขอทาน และเป็ดน้ำเกลือ

              ปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น 8 ประเภทหลัก โดยเพิ่มอาหารอันฮุย อาหารฮกเกี้ยน อาหารหูหนัน และอาหารเจ้อเจียงเข้าไป ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีก ที่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยคงหนีไม่พ้นอาหารแต้จิ๋ว เพราะชาวจีนในประเทศไทยโดยมากแล้วมีจุดกำเนิดจากแต้จิ๋ว

              อาหารแต้จิ๋วโดยหลักแล้วจะคล้ายกับอาหารกวางตุ้ง แต่ว่าเน้นไปที่อาหารทะเล เนื่องจากบริเวณนั้นอยู่ใกล้กับทะเลมากกว่า ทำให้สามารถหาของทะเลได้ง่าย

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:53:42 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป วัฒนธรรม
วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

หวงเฟยหง วีรบุรุษตัวจริงหรือแค่ภาพยนตร์?

                เชื่อว่าถ้าหากถามถึงวีรบุรุษชาวจีนผู้ต่อสู้กับการกดขี่จากชาวตะวันตกแล้ว ชื่อของปรมาจารย์ “หวงเฟยหง” คงติดอันดับต้นๆ ของตัวเลือกที่คุณผู้อ่านนึกถึง เรื่องราวของจอมยุทธ์ชาวจีนที่ทนเห็นเพื่อนร่วมชาติถูกชาวตะวันตกรังแกไม่ได้ จึงต้องออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาวจีน อีกทั้งยังรอบรู้ในสาขาวิชาทางการแพทย์ที่ออกรักษาชาวบ้านโดยไม่คิดค่ารักษา ทำให้เป็นที่ประทับใจของผู้คนมากมาย

                สำหรับในแวดวงบันเทิงแล้วเรื่องราวของปรมาจารย์หวงเฟยหงเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งนวนิยาย ภาพยนตร์ หรือละครโทรทัศน์ ที่ไม่ว่าจะสร้างขึ้นเมื่อใดก็เป็นที่นิยมของผู้คนมากมาย นับจากภาพยนตร์เรื่อง “Huang Fei-hong zhuan : Bian feng mie zhu (ค.ศ. 1949)” ภาพยนตร์เรื่องแรกที่นำเรื่องราวของหวงเฟยหงมาสร้าง นำแสดงโดยกวางดั๊กฮิง ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนผู้แสดงได้รับบทบาทเดียวกันนี้อีกทั้งสิ้น 77 เรื่อง ได้รับบันทึกในกินเนสบุ๊คว่าเป็นนักแสดงที่รับบทบาทเดียวกันมาที่สุดในโลก

                นอกจากนี้ยังมีนักแสดงที่ได้รับบทบาทหวงเฟยหงอีกหลายคน เช่น หลี่เหลี่ยนเจี๋ย หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Jet Li เจ้าเหวินจั๋ว นักแสดงรุ่นใหม่ รวมถึงนักแสดง Superstar อย่างเฉินหลง ก็เคยรับบทเป็นหวงเฟยหงมาแล้ว จากเรื่อง “ไอ้หนุ่มหมัดเมา (ค.ศ. 1978)” ผลงานสร้างชื่อของเฉินหลง โดยเรื่องราวของหวงเฟยหงได้ถูกต่อเติมไปหลากหลาย ถึงกับมีภาคที่หวงเฟยหงไปบุกถึงสหรัฐอเมริกาในภาพยนตร์เรื่อง “หวงเฟยหงพิชิตตะวันตก (Once Upon a Time in China and America) (ค.ศ. 1997)”

"Drunken Master 1978"

"Once Upon a Time in China"

                หลายคนคิดว่าเรื่องราวของหวงเฟยหงเป็นเพียงเรื่องแต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่หวงเฟยหงเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง และสร้างวีรกรรมจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงไม่แพ้เรื่องราวในภาพยนตร์ทีเดียว

"รูปถ่ายเดียวของหวงเฟยหงที่เป็นที่รู้จัก"

                หวงเฟยหงเกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ.1847 ในรัชสมัยของฮ่องเต้เต้ากวง แห่งราชวงศ์ชิง (บางบันทึกบอกว่าเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1856 ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้เสียนเฟิง) เป็นบุตรชายของหวงฉีอิง ปรมาจารย์กังฟูที่มีชื่อเสียงและเป็นหนึ่งใน “สิบพยัคฆ์กวางตุ้ง” แต่หวงฉีอิงไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับหวงเฟยหง โดยไม่ปรากฏสาเหตุ หวงเฟยหวงฝึกวิชากำลังภายในจาก “ลู่อาไฉ” กับ “หล่ำฟกซิง” และได้รับการถ่ายทอดวิชาเพิ่มเติมจากบิดา

                ในช่วงวัยเด็กทางบ้านมีฐานะยากจน ทำให้ต้องร่อนเร่เดินทางเปิดการแสดงวิชาและขายยาตามท้องถนน ซึ่งเป็นกิจการของทางบ้าน ทำให้หวงเฟยหงได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์แผนจีนที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างอีกด้วย

                เมื่อหวงเฟยหงอายุได้ 16 ปี ชาวตะวันตกที่เดินทางมาประเทศจีนได้คิดกิจกรรมเพื่อความบันเทิงอันโหดร้ายขึ้น คือฝึกสุนัขสายพันธุ์เยอรมันเชฟเพิร์ดให้ดุร้ายและจัดให้มีการต่อสู้ โดยหากชาวจีนคนไหนที่สามารถเอาชนะได้ก็จะได้รับเงินรางวัลมูลค่าสูง แต่ส่วนมากแล้วจะได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หวงเฟยหงรู้สึกทนไม่ได้ที่เพื่อนร่วมชาติถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความสนุกสนานอย่างป่าเถื่อน จึงอาสาไปสู้เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของชาวจีนและในที่สุดก็สามารถเอาชนะได้

                ต่อมาเมื่อหวงเฟยหงอายุได้ 21 ปี ในขณะที่ท่าเรือฮ่องกงเพิ่งเปิดทำการ หวงเฟยหงได้เห็นเหตุการณ์ที่คนอ่อนแอถูกนักเลงท้องถิ่นรุมทำร้าย เมื่อไม่อาจทนเห็นภาพโหดร้ายได้จึงยื่นมือเข้าต่อสู้ด้วยอาวุธไม้พลอง ถึงแม้ว่าจะถูกรุมจากนักเลงหลายสิบคน แต่หวงเฟยหงสามารถที่จะหลบหนีและทำให้นักเลงหลายคนบาดเจ็บ แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้หวงเฟยหงไม่อาจที่จะอาศัยในฮ่องกงได้ จึงย้ายไปอยู่กวางเจา

                ในช่วงเวลาอายุ 30 ปี หวงเฟยหงกลายเป็นปรมาจารย์กังฟูที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก (เป็นช่วงเวลาที่นิยมนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่สุด) นอกจากจะเป็นเปิดสอนกังฟูแล้ว ยังเปิดร้านขายยาและสถานพยาบาลชื่อ “เป่าจือหลิน” ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตำรับยาลับประจำตระกูล วิชาฝังเข็ม และวิชาต่อกระดูก อีกทั้งหลายครั้งที่หวงเฟยหงยังเปิดทำการรักษาแก่ผู้ยากไร้โดยไม่คิดค่ารักษา

                ฝีมือด้านการแพทย์ของหวงเฟยหงได้รับการยกย่องไม่แพ้ความสามารถด้านการต่อสู้ เมื่อนายพลหลิวหยงฟู่ประสบอุบัติเหตุขาหัก ก็ได้หวงเฟยหงเป็นผู้ทำการรักษาและกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน พร้อมกับเป็นแพทย์ประจำกองทัพและเข้าทำสงครามกับญี่ปุ่นในเวลาต่อมา

                หวงเฟยหงผ่านการแต่งงานทั้งหมด 4 ครั้ง มีบุตรทั้งสิ้น 10 คน โดยภรรยาคนสุดท้ายคือ “มอกไกวหลาน” สมรสกันในปี ค.ศ. 1903 ขณะที่หวงเฟยหงอายุ 56 ปี และมอกไกวหลานอายุ 16 ปี

                ต่อมาเกิดเหตุจราจลขึ้นในกวางเจา ก่อให้เกิดไฟไหม้และทำลายร้านค้าไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงร้านเป่าจือหลิน และไม่นานจากนั้นบุตรชายคนโตก็เสียชีวิตโดยถูกแก๊งยาเสพติดทำร้ายร่างกาย ทำให้หวงเฟยหงประกาศไม่สอนเคล็ดวิชาให้กับบุตรหลานของตน

                หวงเฟยหงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1924 รวมอายุได้ 76 ปี โดยมีศิษย์ทั้งสิ้น 18 คน ที่เชื่อกันว่าคนที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาทั้งหมดของหวงเฟยหง (ได้แก่ กังฟู วิชาการแพทย์ และวิชาเชิดสิงโต) คือ เหลิงฟุน แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ หลินจี้หรง ซึ่งต่อมาเปิดสำนักวิชาขึ้นและเป็นผู้ที่เผยแพร่วีรกรรมของอาจารย์จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

"พิพิธภัณฑ์หวงเฟยหง ที่เมืองฝอซาน"

                

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 17:24:06 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

การกำเนิดรถยนต์คันแรก กับบริษัทไดม์เลอร์-เบนซ์

                ปีคริสต์ศักราช 1879 คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz) วิศวกรชาวเยอรมันเริ่มผลิตเครื่องยนต์ 2 จังหวะขึ้น เขาตั้งชื่อมันว่า “เครื่องยนต์เบนซ์”


                ปีคริสต์ศักราช 1885 เบนซ์ได้ผลิตรถยนต์สามล้อโดยใช้น้ำมันเป็นคันแรกของโลก รถยนต์ของเบนซ์คันนี้เพียบพร้อมไปด้วยจุดเด่นพื้นฐานของรถยนต์ในปัจจุบัน เขาได้สิทธิสัมปทานในการผลิตรถยนต์เมื่อวันที่ 29 มกราคม คริสต์ศักราข 1885 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นวันกำเนิดรถยนต์คันแรกของโลก

                ผู้ที่ขับรถท่องเที่ยวด้วยตัวเองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ เบอร์ทา (Bertha) ซึ่งเป็นภรรยาของเบนซ์นั่นเอง

                ช่วงเช้าของวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1888 เธอพาลูกชายทั้งสองขึ้นรถสามล้อที่สามีเป็นผู้ผลิตเพื่อไปเยี่ยมคุณย่าของลูกๆ เมื่อแล่นไปได้ 14 กิโลกเมตร เชื้อเพลิงเกิดหมดลง เธอจึงต้องไปซื้อน้ำมันมาเติมเอง เมื่อพบเส้นทางบนเขาอันสูงชัน เธอและลูกๆ จึงจำต้องลงมาเข็นรถ ครั้นท่อส่งน้ำมันไปยังเครื่องยนต์เกิดอุดตัน เบอร์ทาก็ใช้เข็มเขี่ยสิ่งอุดตันออก กระทั่งพลบค่ำ แม่ลูกทั้งสามที่ทั้งเหนื่อยและหิวก็เดินทางมาถึงบ้านคุณย่าที่อยู่ไกลกว่าร้อยกิโลเมตร หลังผ่านการเดินทางไกลครั้งนี้มาได้ ในที่สุดรถยนต์คันแรกของโลกก็เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คนทั้งหลาย



                ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีวิศวกรชาวเยอรมันท่านหนึ่งชื่อ กอตต์ลีบ ไดม์เลอร์ (Gottlieb Daimler) ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันได้เป็นผลสำเร็จ เพื่อเป็นการฉลองวันเกิดภรรยาของเขา ไดม์เลอร์สั่งทำรถเปิดประทุนคันหนึ่งจากบริษัทผลิตรถม้า จากนั้นนำเครื่องยนต์มาติดตั้งลงในรถม้า รถยนต์ในรูปแบบรถม้าคันแรกจึงถือกำเนิดขึ้น

                หลายปีถัดมาเบนซ์และไดม์เลอร์ได้แยกกันก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์เป็นของตัวเอง การบุกเบิกครั้งนี้ถือเป็นยุคที่รุ่งเรือง และยังเป็นการสร้างรากฐานอันมั่นคงให้แก่บริษัทไดม์เลอร์-เบนซ์ด้วย


                ปีคริสต์ศักราช 1926 เบนซ์และไดม์เลอร์นำบริษัทที่ต่างคนต่างก่อตั้งรวมเข้าไว้ด้วยกัน แล้วตั้งเป็นบริษัทรถยนต์ไดม์เลอร์-เบนซ์ขึ้น กลายเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดในโลก บริษัทเบนซ์เป็นผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพชั้นยอด ปลอดภัย น่าวางใจ และเลื่องชื่อลือนามไปทั่วโลก ในปัจจุบันทำให้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์คุณภาพสูงและสื่อถึงผู้มีฐานะดี

 

จากหนังสือชุดพิพิธภัณฑ์ภาพความรู้รอบตัว เล่ม 6

เล่ม "เมื่อล้อหมุนไปข้างหน้า"


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 16:19:21 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้วิทยาศาสตร์
Prev1. . .4 5 6 7 8 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team