• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เทศกาลไหว้พระจันทร์ (Moon Festival) ตอนที่ 1

 

 

 

     “เทศกาลไหว้พระจันทร์” หรือ “จงชิวเจี่ย” (中秋节) ถือเป็นเทศกาลตามวัฒนธรรมจีนที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากเทศกาลตรุษจีน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติ อันเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี และในปีนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 19 กันยายน 2556

 


ความสำคัญของวันไหว้พระจันทร์

     วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่สุดและส่องแสงงดงามที่สุดวันหนึ่งในรอบปี ชาวจีนจึงยกให้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม รวมถึงเป็นสื่อกลางแสดงความคิดถึงซึ่งกันและกัน กล่าวคือ เมื่อสมาชิกในครอบครัวต้องจากบ้านเกิดอันเป็นที่รักไปไกล หากคิดถึงครอบครัวก็ให้แหงนหน้ามองพระจันทร์เพื่อส่งความรู้สึกและความคิดถึงไปสู่ครอบครัวและคนรักผ่านดวงจันทร์

     สำหรับชาวจีนทั่วโลกแล้ว วันไหว้พระจันทร์ไม่ได้เป็นเพียงประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานนับพันปีเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ชาวจีนซึ่งให้ความสำคัญกับการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของสมาชิกในครอบครัวได้แสดงความสามัคคี ร่วมรับประทานอาหาร จิบน้ำชา รับประทานขนมไหว้พระจันทร์ และรอจนถึงเวลาที่จันทร์เพ็ญลอยกระจ่างฟ้า ก่อนจะกางโต๊ะในลานกลางแจ้ง จัดขนม ผลไม้ และอาหารหลากหลายไว้บนโต๊ะ แล้วจึงเซ่นไหว้สักการะเทพยดาที่เชื่อว่าสถิตอยู่บนดวงจันทร์ พร้อมอธิษฐานให้ครอบครัวกลมเกลียว อยู่เย็นเป็นสุข ให้สมกับที่ชาวจีนนิยามวันไหว้พระจันทร์ว่าเป็น “วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว” เพราะพวกเขาเห็นว่าวงกลมของพระจันทร์เปรียบเสมือนการครบถ้วนบริบูรณ์ของครอบครัวนั่นเอง

 

 

 

ตำนานวันไหว้พระจันทร์

     เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานเรื่องดวงจันทร์ของชาวจีนอย่างแนบแน่น เช่นเรื่อง “ฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์” (嫦娥奔月) โดยเล่าว่า เมื่อครั้งโบราณกาล โลกเรามีดวงอาทิตย์อยู่ถึง 10 ดวง อันนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่โลกมนุษย์ทุกหย่อมหญ้าให้ร้อนระอุเป็นแผ่นดินเพลิง ส่วนที่เป็นน้ำก็เหือดแห้ง ส่วนที่เป็นภูเขาก็ถล่ม แผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบ ผู้คนไม่มีที่หลบซ่อนอาศัย ในครั้งนั้น ได้ปรากฏวีรบุรุษนามว่า “โฮ่วอี้” เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้แม่นยำอย่างอัศจรรย์ เขายิงธนูขึ้นสู่ฟ้าเพียงดอกเดียว ก็ยิงถูกดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ทำให้เหลืออยู่เพียงดวงเดียว ถือเป็นการขจัดทุกเข็ญให้กับบรรดาประชาราษฎร์ ผู้คนจึงพากันยกย่องให้เขาเป็นกษัตริย์

     ทว่าเมื่อโฮ่วอี้ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็ลุ่มหลงในสุราและนารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ กลายเป็นทรราชย์ ราษฎรล้วนแต่โกรธแค้นและชิงชังเขาเป็นที่สุด โฮ่วอี้รู้ตัวว่าคงจะอยู่เป็นสุขเช่นนี้ไปได้อีกไม่นานจึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุนเพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน แต่ฉางเอ๋อ ภรรยาของเขากลัวว่า ถ้าสามีของนางมีอายุยืนนาน ไม่มีวันตายเช่นนี้ อาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ราษฎรเป็นแน่ คิดได้ดังนั้น นางจึงตัดสินใจแอบขโมยยาอายุวัฒนะนั้นมากินเสียเอง เมื่อกินเข้าไปแล้ว ร่างของฉางเอ๋อก็เบาหวิว และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฏภาพเทพธิดาที่เชื่อกันว่าเป็นฉางเอ๋อนี้เอง

     ส่วนที่มาของพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์นั้น ตามบันทึกโบราณกล่าวว่าเริ่มขึ้นครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ (漢文帝) แห่งราชวงศ์ฮั่น กษัตริย์ผู้ทรงปรีชาสามารถและชำนาญในศาสตร์ต่าง ๆ มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ได้ทรงพระสุบินว่า พระองค์ลอยขึ้นไปเที่ยวชมพระราชวังบนดวงจันทร์ และได้พบกับเทพธิดากำลังร่ายรำอยู่อย่างงดงาม ทำให้พระองค์ทรงเพลิดเพลินและเกษมสำราญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงตื่นบรรทม พระองค์โปรดให้พระสุบินนั้นเป็นความจริง จึงมีรับสั่งให้นางสนมแต่งตัวและร่ายรำเลียนแบบเทพธิดาที่พระองค์ได้พบเจอ จนแพร่หลายไปสู่ราษฎรและกลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา

 

 

     ตอนหน้ามาดูกันต่อว่าการไหว้พระจันทร์นั้นทำอย่างไร และเครื่องเซ่นไหว้มีอะไรบ้าง

 

 

ภาพประกอบจาก... www.topic.xkcar.cn, www.thai.chinese.cn

 

 

เรียบเรียงโดย... สำนักพิมพ์ทองเกษม

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:26:45 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม ความรู้ทั่วไป
วันที่ 05 กรกฏาคม พ.ศ. 2556

ตำนานจักรราศี ตอนที่ 2

                กลุ่มดาวจักรราศีทั้ง 12 จากที่เราได้รู้เรื่องราวไปแล้วครึ่งหนึ่ง วันนี้เราจะรับรู้เรื่องราวอีก 6 จักรราศีที่เหลือ ซึ่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว

                7. กลุ่มดาวคันชั่ง ราศีตุลย์ Libra (23 กันยายน - 23 ตุลาคม)


                คันชั่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมหลังจากยุคทองของมนุษย์ผ่านพ้นไป ในขณะที่จิตใจของมนุษย์เริ่มมีจิตคิดชั่วร้ายมากขึ้น เทพีแอสเทรีย (Astraea) เป็นเทพองค์สุดท้ายที่ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ในช่วงยุคทองก่อนที่นางจะกลับสวรรค์ไป คันชั่งแห่งความยุติธรรมของนางจึงกลายเป็นกลุ่มดาวคันชั่งหรือกลุ่มดาวตุลย์นั่นเอง


                8. กลุ่มดาวแมงป่อง ราศีพิจิก Scorpio (24 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายน)


                นายพรานผู้หนึ่งชื่อว่า โอไรออน (Orion) ออกตัวว่าตนเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือใคร ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายไม่พอใจ โดยเฉพาะเทพีไกอา (Gaia) ผู้ซึ่งรู้สึกไม่พอใจโอไรออนอย่างมาก นางเรียกแมงป่องตัวหนึ่งมาแล้วสั่งให้ไปจัดการกับโอไรออน แมงป่องใช้พิษที่หางของมันแทงโอไรออนถึงแก่ความตาย แมงป่องจึงได้รับยกย่องให้กลายเป็นกลุ่มดาว


                9. กลุ่มดาวคนยิงธนู ราศีธนู Sagittarius (23 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)


                เซนทอร์ (Centaur) ชนเผ่าในสมัยกรีกโบราณที่มีร่างเป็นครึ่งคนครึ่งม้า ใช้ชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้า มีความสามารถพิเศษในการดื่มสุรา หนึ่งในชาวเซนทอร์ผู้หนึ่งมีชื่อว่า ไครอน (Chiron) สหายสนิทของเขาคือเฮอร์คิวลิส ครั้งหนึ่งเฮอร์คิวลิสมาเยี่ยมเยียนไครอน เกิดอดใจไม่ไหวแอบชิมสุรา ทำให้เขาถูกชนเผ่าเซนทอร์ต่อว่าประณาม เฮอร์คิวลิสโกรธมาก ง้างคันธนูหมายจะยิงธนูใส่ ไครอนเห็นดังนั้นจึงเข้าขวาง จนถูกยิงจนสิ้นชีพเพราะต้องการปกป้องชนเผ่าของตน เทพซุสจึงนำศพของเขาวางไว้บนท้องฟ้ากลายเป็นกลุ่มดาวคนยิงธนูเพื่อเป็นการระลึกถึงไครอน


                10. กลุ่มดาวแพะทะเล ราศีมังกร Capricorn (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)


                แพน (Pan) เทพแห่งธรรมชาติทั้งปวง มีรูปร่างเป็นแพะ เติบโตมาด้วยความอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ณ งานเลี้ยงชุมนุมเหล่าทวยเทพ ไทฟอน (Typhon) อสุรกายตนหนึ่งบุกเข้าไปก่อกวนอาละวาดในโถงงานเลี้ยง ขณะที่กำลังโกลาหลอยู่นั้น แพนกระโดดหนีลงน้ำแต่ว่ายน้ำไม่ได้เร็วเพราะกีบแพะเล็กนิดเดียว เทพซุสจึงช่วยเสกให้แพนมีหางปลา และเรียกแพนในรูปลักษณ์ใหม่ว่า แพะทะเล หรือ มกร จากนั้นเทพซุสได้นำลักษณะของเขาสร้างขึ้นเป็นกลุ่มดาวแพะทะเล


                11. กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ ราศีกุมภ์ Aquarius (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์ )


                แกนีมีด (Ganymede) เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่เทพซุสพึงพอใจ เทพซุสจึงแปลงร่างเป็นนกอินทรีมาโฉบร่างเขาไปที่วิหารของเหล่าเทพบนยอดเขาโอลิมปัส ให้แกนีมีดทำหน้าที่เป็นผู้รินสุราแก่เหล่าเทพทั้งหลาย เมื่อเทพีฮีราเห็นซุสให้ความรักแก่แกนีมีดมากเกินไปก็เกิดความหึงหวง เทพซุสเองก็กลัวเทพีฮีราเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงให้แกนีมีดไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์เพื่อที่เทพีฮีราจะได้ไม่ไปตามรังควาน


                12. กลุ่มดาวปลาคู่ ราศีมีน Pisces (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)


                มีอสุรกายตนหนึ่งบุกเข้างานเลี้ยงของเหล่าทวยเทพ เทพแต่ละองค์ต่างตกใจวิ่งหนีกันชุลมุน อโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือวีนัส เทพีแห่งความงามและความรักได้แปลงกายตัวเองเป็นปลา และลูกชายของนางคืออีรอส (Eros) หรือคิวปิดก็แปลงร่างเป็นปลาเช่นเดียวกัน จากนั้นทั้งคู่ก็กระโดดลงแม่น้ำว่ายหนีไป ทั้งสองใช้เชือกเส้นหนึ่งผูกติดกันไว้เพื่อไม่ให้แยกจากกัน กลุ่มดาวราศีมีนจึงเป็นรูปร่างของปลาคู่เมื่อครั้งที่ทั้งสองกลายร่างเป็นปลานั่นเอง แม่ลูกทั้งสองลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปด้วยกัน เนื่องด้วยมีลักษณะเช่นนี้จึงกลายเป็นกลุ่มดาวปลาคู่

 

ที่มา : หนังสือชุดพิพิธภัณฑ์ภาพความรู้รอบตัว เล่ม 8 ภูตน้องพาท่องจักรวาล

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 16:10:16 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 04 กรกฏาคม พ.ศ. 2556

ตำนานจักรราศี ตอนที่ 1

เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักจักรราศีกันเป็นอย่างดี ราศีคือการแบ่งช่วงเวลาหนึ่งปีออกเป็นทั้งสิ้น 12 ราศี โดยในทางโหราศาสตร์เชื่อกันว่าชะตาชีวิตของบุคคลต่างๆ มีผลมาจากดวงดาว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความโชคดีหรือโชคร้ายขึ้นในชีวิต

                ราศีทั้ง 12 ต่างมีชื่อเรียกและที่มาจากดวงดาว โดยมีตำนานเรื่องราวที่อิงกับตำนานเทพปกรณัมของกรีก ดังนี้

1. กลุ่มดาวแกะ ราศีเมษ Aries (21 มีนาคม - 19 เมษายน)

กษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงมีพระนามว่า อะธามัส (Athamus) หลังจากพระองค์ทรงขับไล่มเหสีของตนออกไปแล้ว ก็อภิเษกสมรสกับมเหสีผู้มีจิตใจชั่วร้ายพระองค์ใหม่ พระนางมักปฏิบัติต่อพระโอรสและพระธิดาทั้งสองของมเหสีพระองค์ก่อนด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ เมื่อเทพซุส (Zeus) ทราบความเข้าจึงส่งแกะวิเศษขนทองคำลงมาช่วยสองพี่น้อง ฟริกซอส (Phrixos) และ เฮลเล (Helle) เอาไว้ และเพื่อมอบรางวัลให้กับแกะผู้กล้าหาญ เทพซุสจึงส่งแกะตัวนี้ไปไว้บนท้องฟ้ากลายเป็นกลุ่มดาวแกะ


2. กลุ่มดาววัว ราศีพฤษภ Taurus (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)


วันหนึ่ง เทพซุสได้ผ่านไปยังประเทศหนึ่ง เขาได้พบกับองค์หญิงยูโรปา (Europa) ผู้เลอโฉม จึงเกิดหลงรักนางเข้า องค์หญิงทรงชื่นชอบการนั่งเล่นบนพื้นหญ้า เทพซุสจึงเนรมิตกายเป็นวัวตัวหนึ่งเดินเข้าไปหานาง แล้วก็เป็นจริงดังคาด องค์หญิงทรงชอบวัวตัวนี้ นางจึงขึ้นไปขี่บนหลังวัว ทันใดนั้นเขาก็ลักพาตัวองค์หญิงไปยังวิหารของตน เพื่อเป็นการระลึกถึงความรักครั้งนี้ของตน เทพซุสจึงเนรมิตกายเป็นกลุ่มดาววัวอยู่บนท้องฟ้า


3. กลุ่มดาวคนคู่ ราศีเมถุน Gemini (21 พฤษภาคม - 21 มิถุนายน)


มีพี่น้องผู้กล้าหาญและสนิทสนมกันอยู่คู่หนึ่งชื่อว่า พอลลักซ์ (Pollux) และคาสเตอร์ (Caster) เล่ากันว่าทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมากและออกศึกสงครามร่วมกันหลายครั้ง เมื่อพวกเขาสิ้นชีวิตลง เทพซุสรู้สึกเห็นใจพวกเขามากจึงเนรมิตพวกเขาทั้งสองให้เป็นกลุ่มดาวคนคู่เพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนกัน เป็นกลุ่มดาวที่เห็นชัดเจนตลอดคืนในฤดูหนาว


4. กลุ่มดาวปู ราศีกรกฎ Cancer (22 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)


เทพีฮีรา (Hera) คิดจะกำจัดเฮอร์คิวลิส (Hercules) บุตรแห่งเทพซุสกับหญิงสาวซึ่งเป็นมนุษย์นางหนึ่ง พระนางส่งปูยักษ์ไปกัดขาของเขา แต่ผลสุดท้ายกลับถูกเฮอร์คิวลิสฆ่าตาย เพื่อเป็นการตอบแทนในความภักดีของเจ้าปูยักษ์ เทพีฮีราจึงนำปูยักษ์ไปไว้บนท้องฟ้ากลายเป็นกลุ่มดาวปู


5. กลุ่มดาวสิงโต ราศีสิงห์ Leo (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)


หนึ่งใน 12 ภารกิจของเฮอร์คิวลิส งานแรกคือการสังหารราชสีห์ที่อาศัยอยู่ในป่าเนมีอา ราชสีห์ตัวนี้มีพละกำลังมากมายมหาศาล อีกทั้งมีผิวกายที่แข็งแกร่งมาก แต่เฮอร์คิวลิสก็สามารถใช้มือเปล่าหักคอมันจนตายได้ เทพซุสจึงส่งราชสีห์ตัวนี้ไปบนท้องฟ้า กลายเป็นกลุ่มดาวสิงโต เพื่อเป็นการยกย่องความแข็งแรงของเฮอร์คิวลิส


6. กลุ่มดาวหญิงสาว ราศีกันย์ Virgo (23 สิงหาคม – 22 กันยายน)


เพอร์ซีโฟเน (Persephone) ได้กินผลทับทิมของยมโลกไป ซึ่งผู้ใดที่กินผลทับทิมเข้าไปจะต้องผูกพันอยู่กับยมโลกและจากไปไม่ได้ ส่งผลให้เพอร์ซีโฟเนต้องไปเฝ้ายมโลกอันมืดมิด เทพซุสจึงทำข้อสัญญาตกลงกันว่า จะให้เพอร์ซีโฟเนอยู่บนโลกเป็นเวลา 9 เดือน จากนั้นอีก 3 เดือนจะต้องกลับไปอยู่ในยมโลก เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เพอร์ซีโฟเน อยู่ในยมโลกเราจะมองไม่เห็นกลุ่มดาวหญิงสาวเลย

 

ที่มา : หนังสือชุดพิพิธภัณฑ์ภาพความรู้รอบตัว เล่ม 8 ภูตน้องพาท่องจักรวาล


เขียนเมื่อวันที่ เวลา 16:33:35 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 01 กรกฏาคม พ.ศ. 2556

38 ปี ความสัมพันธ์ ไทย-จีน

นับแต่อดีต ชนชาติไทยและชนชาติฮั่นมีความสัมพันธ์ระหว่างกันมาโดยตลอด ซึ่งปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีว่า มีการทำการค้าขายกันมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ในพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการต่างๆ ระหว่างกันด้วย

(เครื่องชามสังคโลก ขอบคุณภาพจาก www.amulet1.com)

                มีหลักฐานหลายชิ้นบ่งชี้เกี่ยวกับบรรพบุรุษไทยในประวัติศาสตร์จีน เช่น เชื่อกันว่า เบ้งเฮ้ก ที่เคยทำศึกกับขงเบ้งเป็นบรรพบุรุษของคนไทย(บางตำราบอกว่าเป็นขุนนางฮั่นที่ดูแลชนเผ่าที่เป็นบรรพบุรุษของไทย) หรืออาณาจักรน่านเจ้า ที่เชื่อกันว่าเป็นอาณาจักรแรกของชาวไทย ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณมณฑลเสฉวน ก่อนที่จะอพยพมาทางตอนใต้สู่แผ่นดินสุวรรณภูมิในปัจจุบัน

                ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ในหลายด้าน ทั้งการทำการค้า การแลกเปลี่ยนศิลปวิทยาการ ศิลปวัฒนธรรม และประชากร ในสมัยอยุธยามีการตั้งชุมชนชาวจีนขึ้นโดยเป็นผู้ใช้แรงงานที่สำคัญในสังคม มีการมอบตำแหน่งขุนนางให้กับชาวจีน เช่น ตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐี เป็นต้น รวมถึงคำไทยต่างๆ ซึ่งมีที่มาจากภาษาจีน เช่น เก้าอี้ ยี่ห้อ เป็นต้น ดังนั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศจึงสนิทแนบแน่นมาโดยตลอด

(การทำศึกสงครามฝิ่น ขอบคุณภาพจาก mil.huanqiu.com)

                จนกระทั่ง เมื่อราชสำนักชิงพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังตะวันตกในศึกสงครามฝิ่น ประกอบกับการที่ไทยเริ่มทำการค้ากับทางตะวันตกมากขึ้น ความสัมพันธ์กับไทยและจีนจึงเริ่มลดลงตามลำดับ แต่ในด้านประชากรแล้วก็ยังคงมีการเคลื่อนย้ายกันมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศจีนเกิดสงครามภายในประเทศระหว่างรัฐบาลก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ประชาชนได้รับความยากลำบากและความอดอยาก จึงส่งผลให้มีกลุ่มผู้อพยพชาวจีนเพิ่มจำนวนสูงขึ้น และส่วนหนึ่งได้อพยพมายังประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ (ชุมชนชาวจีนยูนนานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นอีกหนึ่งชุมชนชาวจีนที่เกิดขึ้นจากการอพยพในช่วงเวลานี้) แต่เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สามารถมีชัยชนะเหนือรัฐบาลก๊กมินตั๋งได้ ประเทศไทยซึ่งขณะนั้นเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา จึงสนับสนุนรัฐบาลคณะชาติที่ไต้หวัน และไม่ยอมรับรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน

                ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ความเข้มงวดในความสัมพันธ์เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จอมพล ป. ได้มีแนวความคิดที่จะสถาปนาความสัมพันธ์กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นในทางลับ โดยมีคุณสังข์ พัธโนทัย ที่ปรึกษาคนสนิท เป็นผู้พยายามริเริ่มขึ้น มีการส่งบุตรชายและบุตรสาวของตนไปเป็นบุตรบุญธรรมของนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล และเตรียมการที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ขึ้นอีกครั้ง แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามถูกรัฐประหารเสียก่อน ขณะเดียวกันนโยบายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ยึดตามสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ต้องเว้นระยะห่างไปอีกหลายสิบปี ใครที่เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนจะถูกตั้งกรรมการสอบสวน เช่น กรณีกบฏสันติภาพ เป็นต้น

(วรรณไว พัธโนทัย เข้าพบนายกโจวเอินไหล บิดาบุญธรรม)

                จนเมื่อการปกครองสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ในยุค “ประชาธิปไตยแบบพ่อขุน” เสื่อมลงภายหลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 และการผ่อนปรนความเข้มงวดในการคบหากับจีนของสหรัฐอเมริกา โดยมีที่มาจาก “การทูตปิงปอง” ที่นำไปสู่การเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ประเทศอื่นๆ สถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย

(ประธานาธิปดีริชาร์ด นิกสัน ขณะเข้าพบ ประธานเหมา)

                สำหรับประเทศไทย เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลงแล้ว ในยุคสมัยที่ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ทำการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ขึ้นอีกครั้ง โดย ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งลงนามในหนังสือความสัมพันธ์ ในปี พ.ศ. 2518

(ภาพขณะลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน)

                นอกจากการเยือนอย่างเป็นทางการแล้ว ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังได้เข้าพบกับรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิง นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล และประธานเหมาเป็นระยะเวลานานถึง 58 นาที ซึ่งภายหลัง ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ได้บอกเล่าเหตุการณ์การพบกับประธานเหมาในครั้งนั้นอย่างละเอียดว่า ผู้ที่เข้าพบกับประธานเหมามี 4 คน คือ  ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี พล.ต. ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอานันท์ ปันยารชุน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และนายประกายเพ็ชร์ อินทุโสภณ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา การค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีนก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อประเทศจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสูงอันดับหนึ่งของโลก ก็ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยได้รับผลดีไปด้วย เพราะวัฒนธรรมและทำเลที่ตั้งได้เปรียบกว่าประเทศอื่น

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 14:12:02 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตรจีน ความรู้ทั่วไป
Prev1 2 3 4 5 . . .17Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team