• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

4 สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ

 

     ตั้งแต่โบราณกาลมาเวลาคนจีนเขียนตัวอักษรศิลปะ หรือ ซูฝ่า (书法) หรือวาดภาพจิตรกรรมจีนประเพณี หรือ กว๋อฮั่ว (国画) จะขาดเครื่องเขียนอย่าง กระดาษ หมึก พู่กันและจานฝนหมึก ไปไม่ได้ เครื่องเขียนทั้ง 4 ประเภทนี้ได้รับการขนานนามว่า “สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่" (文房四宝)

     สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่นั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ กระดาษซวนจื่อ หมึกฮุยม่อ พู่กันหูปี่และจานฝนหมึกตวนเอี้ยน      

 

 

 

กระดาษซวนจื่อ (宣纸) 

     ผลิตที่บริเวณใกล้กับเมืองซวนเฉิง มณฑลอันฮุย เนื้อกระดาษซวนจื่อมีสีขาว ละเอียดและอ่อนนุ่ม มีความเหนียวและซับน้ำได้ดี ทำให้สามารถแสดงลักษณะเด่นของศิลปะการเขียนพู่กันและภาพวาดออกมาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กระดาษซวนจื่อยังเก็บไว้ได้นานไม่ผุเปื่อยง่าย ไม่เปลี่ยนสีจึงเก็บไว้ได้เป็นร้อยปีพันปีไม่เสียหาย

 

 

 

หมึกฮุยม่อ (徽墨) 

     ผลิตที่เมืองฮุยโจว มณฑลอันฮุย ผลิตครั้งแรกในราชวงศ์ถังถึงปัจจุบัน ภายในหมึกนั้นมีส่วนผสมของยาจีนและเครื่องหอมที่มีชื่อ บางครั้งก็จะผสมกับทองคำ ดังนั้นหมึกชนิดนี้ไม่เพียงแต่จะมีสีดำวาวนวล แต่จะมีกลิ่นหอมกรุ่น และสามารถเก็บรักษาไว้ใช้งานได้นานเป็นสิบปีเลยทีเดียว

 

 

 

พู่กันหูปี่ (湖笔)  

     การทำพู่กันนั้นต้องผ่านกรรมวิธีถึง 70 วิธี ใช้ขนแกะ กระต่าย และอีเห็นมาทำเป็นขนพู่กันที่อ่อนนุ่ม และทำให้ปลายเรียวแหลม สามารถกำหนดขนาดของเส้นที่เขียนวาดได้ และเมื่อแห้งสนิทปลายพู่กันต้องยังคงสภาพเดิม โดยพู่กันหูปี่นั้นผลิตอยู่ที่เมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียง มีคุณสมบัติ 4 ประการ “ปลายแหลม ขนเรียบ หัวกลมสวย และแข็งแรง”


 

จานฝนหมึกตวนเอี้ยน (端砚)

     จานฝนหมึกใช้เป็นที่เก็บกักน้ำหมึก ด้วยการฝน “แท่งหมึก” บดเข้ากับ “จานฝนหมึก” ละลายเข้ากับน้ำจนหมึกและน้ำเข้ากัน จานฝนหมึกตวนเอี้ยนทำจากหินตวนสือของเขตตวนซี เมืองเจ้าชิ่ง มณฑลกวางตุ้ง ความพิเศษของจานฝนหมึกชนิดนี้คือ ง่ายต่อการฝนหมึก น้ำหมึกไม่แห้งเป็นเกร็ดง่าย

 

     กระดาษ หมึก พู่กัน และจานฝนหมึก เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้วัฒนธรรมจีนและศิลปะการเขียนพู่กันและการวาดภาพของจีนพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนจึงยังคงเรียกขานสิ่งเหล่านี้ว่า “สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่”

 

 

ที่มา วารสารนานมีนิวส์ ฉบับที่ 12

ภาพประกอบจาก Internet

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:51:20 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม ความรู้ทั่วไป ประวัติศาสตร์จีน
วันที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ภาพวาดจีน

 

       ภาพวาดจีน (中国画) เป็นการวาดภาพโดยใช้พู่กัน น้ำหมึก และสี วาดลงบนกระดาษหรือผ้าไหม หากแบ่งตามเนื้อหาของภาพ จะแบ่งได้ 3 ประเภท คือ ภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ ภาพดอกไม้และนก

 

       ภาพวาดบุคคล ได้พัฒนาถึงระดับที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในสมัยจ้านกั๋ว (477 – 222 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ถังจึงได้เจริญถึงจุดสูงสุด นักวาดภาพรูปบุคคลที่มีชื่อเสียง ได้แก่ กู้ไข่จือ อู๋ต้าวจื่อ เป็นต้น

 

       ภาพวาดรูปวิวทิวทัศน์ มักเป็นรูปภูเขาและแม่น้ำที่งดงาม เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน และได้กลายมาเป็นรูปแบบของการวาดประเภทหนึ่งในสมัยราชวงศ์สุย ก่อนจะเจริญถึงขีดสุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง รูปภาพมีความประณีตงดงาม นักวาดภาพวิวทิวทัศน์ของจีนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ หลี่ซือซวิ่น ฟ่านควาน ถางอิ่น เป็นต้น

 

       ภาพวาดรูปดอกไม้และนก รวมไปถึงสัตว์ปีก สัตว์บก ปลา และแมลงตามแบบธรรมชาติ ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-581) นั้นมีภาพวาดรูปดอกไม้และนกแล้ว กระทั่งสมัยราชวงศ์ซ่งภาพวาดประเภทนี้ได้พัฒนามากยิ่งขึ้น นักวาดภาพดอกไม้และนกที่มีชื่อเสียง ได้แก่ จูตา ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวาดรูปดอกไม้และนก เจิ้งเซี่ย ผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดต้นไผ่ ฉีป๋ายสือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดรูปปลาและกุ้ง เป็นต้น

 

 

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ 中国文化常识

ที่มา วารสารนานมีนิวส์ ฉบับที่ 16

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:05:15 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม ความรู้ทั่วไป ประวัติศาสตร์จีน
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 4 ของจีน

 

 

 

 

       สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 4 ของจีน หรือที่เรียกว่า “จตุรประดิษฐ์” (四大发明) ปรากฏขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แสดงถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในอดีตได้ดีที่สุด อันประกอบไปด้วย

 

 

 


 

เข็มทิศ (指南针zhǐ nán zhēn)

       ในยุคจ้านกั๋ว ชาวจีนได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นหินแม่เหล็ก นำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องมือในการบอกทิศทางที่เรียกว่า “ซือหนาน” มีลักษณะเป็นช้อนแม่เหล็กตั้งอยู่บนฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทาง ซึ่งคันช้อนชี้ไปทางทิศใต้และปลายอีกด้านหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งมีการนำแผ่นเหล็กและฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทางมารวมกัน เรียกว่า “หลัวผาน” ประเทศจีนจึงเป็นชาติแรกของโลกที่ประดิษฐ์เข็มทิศขึ้น เข็มทิศนี้ถูกนำไปใช้ในการเดินเรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 11 ภายหลังจากการใช้เข็มทิศอย่างแพร่หลายจึงมีการพัฒนาปรับปรุงรูปลักษณ์ของเข็มทิศให้สะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น

 

 

 


 

ดินปืน (火药huǒ yào )

       ส่วนประกอบสำคัญของดินปืน ได้แก่ ดินประสิวหรือโพแทสเซียมไนเตรต กำมะถัน และผงถ่านรวมเข้าด้วยกัน เบื้องต้นการคิดค้นดินปืนมีความเกี่ยวข้องกับการกลั่นยาอายุวัฒนะในสมัยโบราณ กล่าวคือนักปรุงยาได้นำแร่ธาตุและพันธุ์พืชมากมายมาผสมและใส่ลงไปในเตาต้มรวมกัน ทว่าการปรุงยาอายุวัฒนะนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในขณะกลั่นยาเตาเกิดระเบิดขึ้น นักปรุงยาจึงพบธาตุที่เป็นชนวนระเบิดได้จากการเผาไหม้นั้นโดยบังเอิญ เป็นเหตุให้ดินปืนถูกประดิษฐ์ขึ้นและนำไปใช้ในงานด้านการทหาร โดยดินปืนนี้คิดค้นได้สำเร็จในสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย

 

 

 


 

กระดาษ (造纸术zào zhǐ shù)

       ชาวจีนสมัยโบราณใช้วิธีเขียนหนังสือลงบนแผ่นไม้ไผ่ กระดองเต่า และกระดูกสัตว์ แต่ทั้งหมดนี้มีน้ำหนักมาก พกพาไม่สะดวก สมัยราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่นเริ่มมีความเห็นว่าการเขียนลงบนผ้าไหมดีกว่าการเขียนลงบนแผ่นไม้มาก แต่ผ้าไหมก็เป็นสินค้าที่มีราคาแพงเกินไป กระทั่งสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ขุนนางผู้หนึ่งนามว่า ไช่หลุน (蔡伦) เป็นผู้ค้นพบวิธีผลิตกระดาษ โดยนำเปลือกไม้ เศษผ้า และตาข่ายดักปลามาบดผสมกันจนป่น จากนั้นก็นำมาตากแห้งจนกลายเป็นแผ่น กระดาษชนิดนี้จึงมีชื่อว่า “กระดาษไช่หลุน” นับเป็นการประดิษฐ์ของชาวจีนที่นำความภาคภูมิใจนี้ส่งต่อไปยังทั่วโลก

 

 

 


 

แท่นพิมพ์ (印刷术yìn shuā shù)

       ก่อนการคิดค้นแท่นพิมพ์สำเร็จมักใช้วิธีคัดลอกตาม ดังนั้นกว่าจะได้หนังสือสักเล่มย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อมาผู้คนเริ่มใช้วิธีพิมพ์โดยวางกระดาษทาบลงบนศิลาจารึก สมัยราชวงศ์ถังมีการคิดค้นแม่พิมพ์สลักขึ้น โดยการแกะตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ ใช้หมึกทาแล้วเอากระดาษทาบ สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ปี้เซิงคือผู้ที่คิดค้นตัวเรียงพิมพ์ขึ้น เขาใช้วิธีแกะสลักตัวอักษรแต่ละตัวลงบนดินเหนียวทีละก้อนก่อนนำไปเผาไฟให้แข็ง ตอนพิมพ์ให้เรียงตัวอักษรที่ต้องการ ทาหมึกลงไปแล้ววางกระดาษทาบลง ตั;อักษรที่แกะสลักเหล่านี้ยังนำไปใช้ซ้ำได้อีกด้วย วิธีการพิมพ์ของปี้เซิงเป็นต้นแบบของการพิมพ์ที่ใช้ตะกั่วในยุคหลัง

 

 

 

 

ที่มา วารสารนานมีนิวส์ ฉบับที่ 12

ภาพประกอบจาก Internet

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:30:20 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน ความรู้ทั่วไป
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เทศกาลไหว้พระจันทร์ (Moon Festival) ตอนที่ 2

 

     หลังจากได้รู้จักตำนานที่เกี่ยวข้องกับ “เทศกาลไหว้พระจันทร์” หรือ “จงชิวเจี่ย” (中秋节) กันไปในตอนที่แล้ว วันนี้มาดูกันต่อว่า พิธีการไหว้พระจันทร์ต้องทำอย่างไร และต้องใช้อะไรในการจัดโต๊ะสักการะบ้าง

 

 

ประวัติการไหว้พระจันทร์

     ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ ยังคงไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่าจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ (漢文帝) แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบไว้พระจันทร์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 กลางฤดูใบไม้ร่วง 

     ขณะที่บางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ เกิดขึ้นในปลายสมัยราชวงค์ซ่ง ช่วงต้นของราชวงค์หยวน เป็นช่วงที่มองโกลเข้ายึดครองแผ่นดินจีนและบังคับให้คนจีน 3 ครอบครัวต้องเลี้ยงดูคนมองโกลอย่างดี 1 คน โดยริบอาวุธของคนจีนไปทั้งหมดและอนุญาตให้มีได้เพียงมีดหั่นผัก 1 เล่ม แต่ใช้ร่วมกัน 3 ครอบครัว ชาวจีนผู้รักเสรีภาพทนความกดขี่ไม่ไหวจึงเกิดความคิดที่จะกู้ชาติ มีการแอบตั้งขบวนการใต้ดิน และมีการนัดแนะกันลุกฮือขึ้นมาฆ่าพวกมองโกล ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คิดให้จัดงานไหว้พระจันทร์ขึ้นมาบังหน้า มีการทำขนมไหว้พระจันทร์ที่จงใจออกแบบให้เป็นขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ไส้หนาเป็นพิเศษเพื่อใช้เป็นที่ซ่อนเอกสารในการติดต่อ แล้วให้มีธรรมเนียมแลกขนมเปี๊ยะกันระหว่างญาติมิตร ซึ่งนับว่าเป็นการตบตาพวกมองโกลได้อย่างแนบเนียน ภายในสารระบุเวลากำจัดชาวมองโกลว่าเป็นช่วงเที่ยงคืนของวันเพ็ญเดือน 8 ซึ่งเป็นคืนที่กำหนดให้มีงานไหว้พระจันทร์ และในคืนนั้นเอง ชาวจีนทุกบ้านก็พร้อมใจกันจัดงานไหว้พระจันทร์ พอถึงเที่ยงคืนก็มีการตีเกราะเคาะไม้ส่งสัญญาณแก่กันว่าได้เวลาแล้ว ทุกครอบครัวก็พร้อมใจกันรุมฆ่าชาวมองโกลด้วยมีดหั่นผักที่มีอยู่เล่มเดียวนั่นเอง 

     เมื่อได้เอกราชคืนมา ชาวจีนจึงยึดถือเอาวันเพ็ญเดือน 8 เป็นวันไหว้พระจันทร์สืบต่อมาเพื่อรำลึกถึงการกู้ชาติจากพวกมองโกล เทศกาลไหว้พระจันทร์ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นที่นิยมไหว้กันอยู่ พอตกเย็นของคืนวันเพ็ญเดือน 8 ชาวจีนจะเริ่มตั้งโต๊ะไหว้ที่กลางแจ้ง เพื่อทำพิธีไหว้พระจันทร์ สิ่งของที่นำมาไหว้ก็มี ขนมเปี๊ยะและส้มโอ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหัวคน เป็นการรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ถูกฆ่าตัดหัวในการลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติครั้งนั้น

 

การไหว้พระจันทร์

     ในอดีต ชายชาวจีนจะไม่นิยมไหว้พระจันทร์ เนื่องจากเชื่อว่าพระจันทร์เป็นหยินซึ่งเป็นธาตุของผู้หญิง ขณะที่ผู้ชายถือเป็นธาตุหยาง จึงให้ผู้หญิงเป็นคนกราบไหว้ ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ชายและผู้หญิงสามารถไหว้พระจันทร์ได้เช่นเดียวกัน

     การไหว้พระจันทร์ จะเริ่มต้นในช่วงหัวค่ำซึ่งพระจันทร์เริ่มปรากฏบนท้องฟ้า แม้ว่าปีไหนหรือสถานที่ใดจะมองไม่เห็นพระจันทร์ แต่ชาวจีนทั่วโลกก็ยังคงไว้พระจันทร์ในค่ำคืนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดยพิธีจะดำเนินไปจนเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม จากนั้นสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดก็มาร่วมวงกินขนมไหว้พระจันทร์ที่ต้องนำมาตัดแบ่งให้เท่ากับจำนวนสมาชิก ห้ามขาดหรือเกิน และทุกชิ้นต้องมีขนาดเท่า ๆ กัน ขนมไหว้พระจันทร์จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความกลมเกลียวของครอบครัว รูปลักษณ์ของขนมไหว้พระจันทร์จึงต้องทำเป็นก้อนกลมเท่านั้น

 

 

 

ขนมไหว้พระจันทร์หรือของไหว้พระจันทร์

     "เยว่ปิ่ง" (月饼) หรือ "ขนมไหว้พระจันทร์" (Moon Cake) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการไหว้พระจันทร์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม สอดไส้หวานหรือธัญพืชที่มีรสหวานเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีการเพิ่มไส้ต่าง ๆ ให้ขนมหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ไส้หมูแฮม ไส้หมูแดง ไส้หมูหยอง รวมถึงไส้อื่น ๆ ที่มีรสเปรี้ยวและเค็ม กระนั้นก็ไม่ได้มีความหมายใด ๆ เป็นพิเศษมากไปกว่าการเป็น “ขนม” หรือ “ขนมไหว้พระจันทร์” ที่รับประทานเพื่อความอร่อยในคืนวันพิเศษเท่านั้น โดยจะมีการจำหน่ายล่วงหน้าก่อนวันไหว้พระจันทร์ประมาณ 1 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขนมไหว้พระจันทร์ก็ไม่ใช่เครื่องเซ่นไหว้หลักที่อยู่บนโต๊ะบูชา

     เครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกต้องตามประเพณีนั้นล้วนสำคัญและมีความหมายแฝงเอาไว้ เพราะนอกจากขนมไหว้พระจันทร์ที่มีลักษณะกลมเหมือนดวงจันทร์ เพื่อบ่งบอกถึงความกลมกลึงของชีวิตแล้ว ยังต้องมีอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ธูปเทียน และที่แปลกแต่จริงของการบูชาพระจันทร์นี้ก็คือ การเพิ่ม "เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวผู้หญิง" ในรายการของเซ่นไหว้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นการเสริมเรื่องเสน่ห์ ความงดงาม บ้างก็ไหว้ด้วยกระเป๋าสตางค์ แก้วแหวนเงินทอง เพื่อให้มีความอยู่ดีกินดี มีเงินทองมากมาย และที่ขาดไม่ได้ก็คือโคมไฟ เพื่อชีวิตที่สว่างสุกใส ในการตั้งโต๊ะเซ่นไหว้สามารถทำได้ทั้งที่ลานหน้าบ้านหรือดาดฟ้า โดยจะมีการทำซุ้มต้นอ้อย จัดพร้อมธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทองที่พับเป็นรูปเงินของจีน โคมไฟ เป็นต้น

     อย่างไรก็ดี วิธีการจัดโต๊ะของแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไปและไม่มีการกำหนดเป็นแบบแผนตายตัว ขึ้นอยู่กับสิ่งที่หาได้และผลไม้ที่มีในท้องถิ่น ซึ่งหากเป็นผลไม้ก็จะเน้นชนิดที่ผลกลม เพื่อความกลมกลึงของชีวิตและหมายรวมถึงความกลมของพระจันทร์วันเพ็ญอีกด้วย

 

 

 

     ท้ายที่สุดแล้ว ความสำคัญของเทศกาลไว้พระจันทร์ก็ไม่ได้อยู่ที่เครื่องเซ่นไหว้ราคาแพงหรือขนมไหว้พระจันทร์ แต่อยู่ที่ความสามัคคีกลมเกลียวในครอบครัวตามที่บรรพบุรุษตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เพราะอย่างน้อยที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เป็นเพียงวันดีที่สุดอีกวันหนึ่งในรอบปีที่สมาชิกในครอบครัวจะได้กลับมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตานั่นเอง

 

 

ภาพประกอบจาก... www.web07.cn, www.tuku.cn

 

 

 


เรียบเรียงโดย... สำนักพิมพ์ทองเกษม

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 12:02:48 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม ความรู้ทั่วไป
Prev1 2 3 4 5 . . .17Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team