• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชาวจีนโพ้นทะเล ตอนที่ 1

                วัฒนธรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับคนจีนมีให้พบเห็นได้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย การไหว้เจ้า การเผากระดาษ  การจุดประทัด รวมถึงเทศกาลต่างๆ เช่น วันตรุษจีน การกินเจ ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ให้เห็นกันทุกปี

                ประเทศไทยมีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประเทศจีนมากนัก แม้ว่าจะไม่มีพรมแดนติดต่อกัน แต่ก็ไม่อยากที่จะเดินทาง  คนไทยหลายคนก็มีเชื้อสายจีน ซึ่งในอดีตนั้นเราจะเรียกชาวจีนที่อพยพออกจากดินแดนประเทศจีนว่า คนจีนโพ้นทะเล

                คำว่า หัวเฉียว (華僑) มีความหมายว่า คนจีนที่เกิดในดินแดนประเทศจีนแต่อพยพออกไปยังดินแดนอื่นๆ และอีกคำที่ใกล้เคียงกันคือ คำว่า หัวอี้ (華裔) ซึ่งหมายถึง ลูกหลานของบรรพบุรุษจีนที่เกิดยังดินแดนอื่น ด้วยลักษณะนิสัยของชาวจีนที่มักจะอยู่รวมกลุ่มกัน (การต้องใช้ชีวิตในต่างแดนอาจมีเรื่องไม่สะดวก การอยู่รวมกันทำให้สามารถพึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือกันและกันได้) ซึ่งทำให้เกิดย่านชุมชนชาวจีน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า China Town

เจิ้งเหอ

                เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์แล้ว กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลมีมาโดยตลอด แต่ที่เริ่มเป็นที่รู้จักและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เริ่มจากการเดินเรือครั้งใหญ่ของนายพลเจิ้งเหอ แม่ทัพเรือในสมัยราชวงศ์หมิง ที่นำกองกำลังเรือขนาดใหญ่ออกเดินทางไปในดินแดนต่างๆ เช่น เอเชีย แอฟริกา (หรือที่กำลังค้นคว้าเพิ่มเติมว่าอาจจะเดินทางไปยังทวีปอเมริกาด้วยก็เป็นได้) ในแต่ละที่ที่ไปถึง ชาวเรือที่มาด้วยหลายคนก็เลือกที่จะตั้งหลักปักฐานในดินแดนเหล่านั้น และได้กลายเป็นชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มแรกๆ

                ต่อมาในศตวรรษที่ 19 สมัยราชวงศ์ชิง มีการติดต่อกับประเทศตะวันตกมากขึ้น และในช่วงนั้นประเทศตะวันตกมีความต้องการแรงงานจำนวนมากเพื่อพัฒนาประเทศ จึงพาชาวจีนไปเป็นแรงงานจำนวนมาก เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น จึงเป็นการอพยพครั้งใหญ่อีกครั้งของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล

                หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิง พรรคก๊กมินตั๋งได้เข้ามาบริหารประเทศแทน แต่ก็เกิดความขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์จนเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากหนีภัยสงครามไปยังดินแดนอื่นๆ รวมถึงในช่วงปลายที่พรรคคอมมิวนิสต์กำลังจะได้รับชัยชนะ กลุ่มปัญญาชนหลายคนไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนจึงอพยพไปยังดินแดนอื่นมากขึ้น

                และยังมีเหตุการณ์อื่นอีกที่ทำให้ชาวจีนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะอพยพออกจากดินแดนประเทศจีน เช่น การปฏิวัติวัฒนธรรม การคืนสู่ประเทศจีนของฮ่องกงและมาเก๊า เป็นต้น

                สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการติดต่อค้าขายกับประเทศจีนมาโดยตลอด  และมีคำกล่าวยกย่องว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกสิ่งใดก็ขึ้น ระยะทางก็ไม่ไกลมากนัก ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ชาวจีนจะอพยพมาตั้งหลักปักฐานโดยมากแล้วจะมาจากมณฑลทางตอนใต้ เช่น กวางตุ้ง ซึ่งชาวจีนในไทยส่วนมากจะเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว แต่ก็มีกลุ่มอื่นอีกเช่น กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ


ที่มารูปภาพ

http://kaleidoscope.cultural-china.com/en/10Kaleidoscope5179.html

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:19:27 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีการแต่งงานของชาวจีน

การแต่งงานของชาวจีนนั้นมีประเพณีและขั้นตอนการปฏิบัติที่มีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง และยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาช้านาน โดยในแต่ละท้องถิ่นก็อาจจะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วเนื้อหาหลักๆ จะคล้ายกัน ซึ่งขนบธรรมเนียนประเพณีการแต่งงานของชาวจีนมีขั้นตอนดังต่อไปนี้


  1. จับคู่ โดยนำวันเดือนปีเกิดของชายและหญิงมาตรวจชะตาว่ามีความสมพงศ์กันหรือไม่
  2. วางของหมั้นชุดเล็ก คือการมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักให้กำไลทองและเครื่องนุ่งห่ม
  3. ทำความรู้จัก เป็นการนัดหมายให้ทั้งสองได้พบเจอกัน
  4. ดูฤกษ์ยาม การหาฤกษ์ยามที่ดีและเป็นมงคล เพื่อที่จะจัดพิธี
  5. วางของหมั้นชุดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นสินสอดด้วยต้องจัดพิธีการที่ยิ่งใหญ่ ส่วนของหมั้นเป็นสิ่งของประเภทใกล้เคียงกับของหมั้นชุดเล็ก
  6. สู่ขอ เจ้าบ่าวจัดขบวนแห่เพื่อไปสู่ขอเจ้าสาวด้วยตนเอง
  7. จุดประทัด มีที่มาจากความเชื่อที่ว่า เสียงประทัดยิ่งดังมากเท่าไร ชีวิตก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น
  8. ไหว้ฟ้าดิน เป็นพิธีที่สำคัญมากในการแต่งงาน (คงเคยเห็นกันบ่อยๆ ในละครจีน) เป็นการแสดงถึงความเคารพที่คู่สามีภรรยามีให้กับบรรพบุรุษและบิดามารดา
  9. แลกแก้วสุรา เป็นการคล้องแขนแล้วดื่มสุรามงคลพร้อมกัน บางท้องถิ่นในเวลาที่เด็กเกิดจะมีการซื้อสุรามาฝังหมักไว้ใต้ดิน เพื่อนำมาแจกจ่ายในพิธีแต่งงาน
  10. ปลุกห้องเจ้าสาว เป็นพิธีการหนึ่งที่แขกในงานกระทำต่อคู่บ่าวสาวอย่างสนุกสนานครื้นเครง โดยในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีความแตกต่างกันไป
  11. คารวะบรรพบุรุษ การไม่ไหว้บรรพบุรุษจะไม่ถือว่าได้แต่งงานแล้ว
  12. เยี่ยมบ้านเจ้าสาว หลังจากแต่งงานแล้ว สามวัน เจ็ดวัน หรือเก้าวัน แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละครอบครัว ลูกเขยจะต้องไปเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงด้วยกัน

หลังจากที่ได้แต่งงาน หรือหลังจากไหว้บรรพบุรษและญาติพี่น้องในวันตรุษจีน ฝ่ายชายจะต้อง “รวมญาติ” คือ การเชิญญาติพี่น้องฝ่ายหญิงมาร่วมรับประทานอาหารร่วมกับญาติฝ่ายชายที่บ้านฝ่ายชาย ซึ่งถือเป็นมารยาทสำคัญที่ฝ่ายชายพึงกระทำ


ในสมัยก่อนการที่เจ้าสาวจะแต่งงานต้องมีผ้าแดงคลุมหน้าไว้ เมื่อเข้าสู่ห้องหอแล้วเจ้าบ่าวจะเป็นคนเปิดผ้าคลุมด้วยตัวเอง โดยมีที่มาจากตำนานว่า ในตอนที่จักรวาลเพิ่งถือกำเนิดขึ้น มีเพียงเทพบุตรและเทพธิดาเท่านั้น เพื่อที่จะให้กำเนิดมนุษย์ พวกเขาจะต้องแต่งงานกันเสียก่อน แต่ด้วยความกระดากอาย เทพบุตรและเทพธิดาจึงอธิษฐานต่อฟ้า หากฟ้าเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา ก็ขอให้เมฆมารวมกัน เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน เมฆก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมารวมกันเป็นก้อน เมื่อได้แต่งงานเทพธิดารู้สึกเขินอาย จึงนำพัดสานมาบังหน้า แต่ในเวลาต่อมาจึงนำผ้าคุลมสีแดงมาแทนเพราะสวยงามกว่า

หลังจากเข้าห้องหอแล้ว เจ้าบ่าวจะใช้คันชั่งเปิดผ้าคลุมสีแดงของเจ้าสาวออก ซึ่งหมายถึงการสมปรารถนา บางตระกูลจะให้พ่อของเจ้าบ่าวเป็นผู้ใช้คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวออก ความหมายคือความเท่าเทียมกันของพ่อแม่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ตอนที่เปิดผ้าคลุมก็ไม่ควรลืมที่จะนำผ้าคลุมสอดเข้าไปในอ้อมอกของแม่เจ้าบ่าว เพราะความหมายคือเจ้าสาวและแม่เจ้าบ่าวมีใจตรงกัน คันชั่งเป็นดั่งตัวแทนมังกร ส่วนมงกุฎที่เจ้าสาวสวมอยู่เป็นดั่งตัวแทนของหงส์ ดังนั้นการใช้คันชั่งเปิดผ้าคลุมของเจ้าสาวจึงหมายถึงมังกรเลือกหงส์

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:37:18 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ วัฒนธรรม
วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สามก๊ก ไม่ได้มีเพียงแบบที่เรารู้จัก

                หากพูดถึงเรื่องราวของสามก๊กแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคนในประเทศไทยจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อหาในบทเรียนของนักเรียนแล้ว ยังมีการนำเสนอในอีกหลายด้านอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นงิ้ว ละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน หรือจะเป็นหนังสือที่มีออกมาหลายลักษณะการดำเนินเรื่อง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือตัวละครในเรื่องสามก๊กที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้นยังมีประวัติที่น่าสนใจและได้รับยกย่องเป็นอย่างมากอีกด้วย

                ยกตัวอย่างเช่น กวนอู น้องร่วมสาบานของเล่าปี่และเตียวหุย ซึ่งเรื่องราวความกล้าหาญ และนิสัยที่ซื่อตรงทำให้ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ มีการสร้างศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชาในหลายที่ หรือหมอฮูโต๋ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมอเทวดา และบุคคลที่รู้จักกันดีในประเทศไทยคือ ขงเบ้ง ยอดกุนซือแห่งจ๊กก๊ก ที่ได้รับการยกย่องในด้านของสติปัญญา ความสามารถเป็นอย่างมาก


                เรื่องสามก๊กนี้คือเหตุการณ์ที่เจอขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ที่ฮ่องเต้มีความอ่อนแอ เหล่าขุนนางกังฉินขึ้นมาฉวยประโยชน์เป็นของตนเอง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจจนในที่สุดแผ่นดินได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

                แต่เรื่องราวของสาม๊กที่คนไทยรู้จักดีนั้น คือฉบับเจ้าพระยาพระคลังหน ซึ่งแปลมาจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง 三国之通俗演義 (ซันกั๋วจื้อทงสูเหยี่ยน) ประพันธ์โดย 羅貫中 (หลอกว้านตง , ล่อกวนตง) นักปราชญ์และนักประพันธ์ชาวจีน ที่อยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นการนำเรื่องราวในช่วงสามก๊กและเรื่องเล่าที่เล่าสืบทอดกันจากชาวบ้านมาแต่งเสริมเพิ่มเติม โดยยกให้ฝ่ายจ๊กก๊กเป็นฝ่ายตัวละครเอก

                และยังมีสามก๊กในอีกหลายประเภทอีกด้วย เช่น 三国志 (ซันกั๋วจื้อ) หรือจดหมายเหตุสามก๊ก ที่บันทึกโดนตันซิ่ว ในช่วงสมัยราชวงศ์จิ้น หรือ 三国之评话 (ซันกั๋วจื้อผิงฮว่า) ที่นำเรื่องราวมาเชื่อมโยงกับตำนานความเชื่อของลัทธิเต๋า และเรื่องของไซฮั่นมาเชื่อมโยง คือการกลับชาติมาเกิดใหม่ของบุคคลในช่วงก่อสร้างราชวงศ์ฮั่น เป็นต้น

                ถึงเรื่องราวของสามก๊กจะมีความสนุกสนานมาก แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ยาวซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเด็กๆเท่าไรนัก ซึ่งหลายท่านต่างพยายามที่จะดึงดูดนักอ่านกลุ่มนี้ด้วยการนำเสนอเป็นเรื่องราวของการ์ตูน เช่นของเฉินเหว่ยตง ที่มีภาพที่สวยงามน่าอ่าน เป็นต้น

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 14:45:07 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ สามก๊ก เหตุการณ์
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทพเจ้าจงขุ่ย เทพผู้กำราบเหล่าผี

knowledge

 

วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ตามความเชื่อของฝั่งตะวันตก จะถือว่าวันนี้เป็นวันที่วิญญาณร้ายจะออกมาจากนรก ผู้คนทั้งหลายจึงพยายามแต่งตัวเลียนแบบวิญญาณ เพื่อที่ว่าวิญญาณร้ายจะสับสนและไม่ทำร้ายตน

สำหรับชาวจีนนั้นก็มีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณร้ายหรือปีศาจออกอาละวาดทำร้ายประชาชนหลายเรื่อง ซึ่งเทพเจ้าที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในด้านการปราบปีศาจที่คนจีนยกย่องคือ เทพเจ้าจงขุ่ย

โดยตำนานเล่าว่า เทพเจ้าจงขุ่ยเคยเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยมาสอบจอหงวนได้ในสมัยถังเกาจงฮ่องเต้ แต่เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัวและอัปลักษณ์ จึงทำให้ทดสอบไม่ผ่าน ด้วยความผิดหวังจึงโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อถังเกาจงฮ่องเต้ทราบข่าวจึงเกิดความเมตตาสงสาร ทรงพระราชทานชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นให้เป็นกรณีพิเศษและจัดพิธีศพให้ จงขุ่ยทราบซึ้งเป็นอย่างมากจึงตั้งใจที่จะพิทักษ์อารักขาฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าถัง

ต่อมาในสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ (บางตำนานเล่าว่าเป็นสมับถังหมินหวัง) ได้ทรงประชวรอย่างหนัก คืนหนึ่งได้ทรงพระสุบินว่า มีผีน้อยตนหนึ่งเข้ามาขโมยขลุ่ยหยกของพระองค์ ทันใดนั้นก็ปรากฏผีอีกตนหนึ่งใส่ชุดขุนนางสีแดง หน้าตาดุดัน หนวดเคราชี้ชัน ออกมาจับผีน้อยตนนั้น จับหักแขนขาและควักลูกตาออกมากิน

ฮ่องเต้ตื่นขึ้นและสอบถามจึงทราบความเป็นมาของจงขุ่ย จากนั้นจึงบัญชาให้จิตรกรเอกนาม อู๋เต้าจื่อ วาดภาพตามที่ทรงเห็นในพระสุบิน และนำออกแจกจ่ายชาวบ้าน เพื่อนำติดที่หน้าบ้านป้องกันสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายนานับประการ

ตามปฏิทินจีนจะมีวันเทศกาลตวนอู่ คือวันที่ 5 เดือน 5 ซึ่งอาจจะถือเป็นวันฮัลโลวีนของชาวจีนก็ได้ เนื่องจากเป็นวันที่ปล่อยผีออกมาพบญาติ

ลักษณะของจงขุ่ยที่มักปรากฏคือ เทพเจ้าหน้าดำ ตาโปนโต หนวดเคราชี้ชัน สวมชุดขุนนางสีแดง ในมือถือกระบี่ตลอดเวลา ว่ากันว่าเทพเจ้าจงขุ่ยมีทหารในสังกัด 3 พันนาย เพื่อต่อสู้กับปีศาจร้าย

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 16:08:42 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ตำนานเทพ
Prev1. . .13 14 15 16 17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team