• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผานกู่บุกเบิกฟ้าดิน

 หลายคนคงเคยรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลกจากพระคัมภีร์ไบเบิลมาแล้ว เกี่ยวกับการที่พระเจ้าสร้างโลกภายใน 7 วัน ซึ่งตำนานการสร้างโลกนั้นหลายชาติต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชาวไอยคุปต์ ชาวสแกนดิเนเวียน ชาวอินเดีย และอีกชนชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี นั่นคือ ชาวจีน ก็มีเรื่องราวของการกำเนิดโลกเหมือนกัน โดยมีที่มาจากหนังสือไคเภ็กซึ่งเป็นตำนานเกี่ยวกับการสร้างโลกและกำเนิดมนุษย์ของจีน โดยมีเรื่องเล่าว่า...

                เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ท่ามกลางความว่างเปล่ามีเพียงไข่ใบหนึ่งอยู่เท่านั้น ต่อมายักษ์ตนหนึ่งนามว่า ผานกู่ ได้ถือกำเนิดขึ้นภายในไข่ใบนั้น วันเวลาผ่านไปร่วมหนึ่งหมื่นแปดพันปี โดยที่ผานกู่เติบโตขึ้นวันละหนึ่งวา ในที่สุดผานกู่ก็ตื่นขึ้น แต่รอบกายมีแต่ความมืดมองสิ่งใดไม่เห็น ผานกู่จึงใช้พละกำลังอันมหาศาลที่สะสมไว้ผลักไข่ให้ขยายออกไป เกิดเป็นเสียงที่ดังกึกก้อง


                จักรวาลเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ธาตุต่างๆ ที่เบาลอยขึ้นด้านบนและธาตุที่หนักเคลื่อนต่ำลง ผ่านไปหลายปีผานกู่ได้เติบโตขึ้นกว่าเดิม แต่เขากังวลว่าโลกที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่จะกลับมาหลอมรวมกันอีกครั้ง เขาจึงถอนฟันตัวเองออกซี่หนึ่งและกลายเป็นขวาน ผานกู่ใช้ขวานผ่านอากาศและธาตุต่างๆ ให้แยกออกจากกัน ในที่สุดธาตุทั้งสองแยกจากกันอย่างไม่อาจรวมกันได้อีก และเรียกธาตุที่เบานั้นเป็นท้องฟ้า ธาตุที่หนักเป็นพื้นดิน แต่เนื่องจากผานกู่ใช้พลังในการแยกธาตุทั้งสองไปจนหมด เขาจึงล้มลง

                ร่างกายของเขาได้กลายเป็นโครงร่างของแผ่นดิน ศีรษะ แขน ขา และลำตัวกลายเป็นภูเขา เลือดได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเล แม่น้ำ และลำธาร ขนตามร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใบหญ้า ตาซ้ายกลายเป็นพระอาทิตย์ ตาขวากลายเป็นพระจันทร์ เส้นผมทั้งหลายกลายเป็นหมู่ดวงดาวนับล้านดวง เนื้อกายแปรเป็นทุ่งนาเกษตร กระดูกและฟันกลายเป็นแร่ธาตุและอัญมณี หยาดเหงื่อของเขาได้แปรเป็นน้ำฝนหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:23:28 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ตำนานเทพ
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มังกรบุตรจ้าวสมุทร

                หากพูดถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนแล้วจะต้องนึกถึงมังกรเป็นอันดับแรก ที่มาของมังกรนั้นมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยที่หวงตี้ บรรพชนของชาวจีนกำลังรวบรวมแผ่นดินอยู่นั้น ในแต่ละชนเผ่าต่างก็มีสัญลักษณ์ประจำเผ่าเป็นสัตว์ที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อจะมาอยู่รวมกัน เพื่อสร้างความปรอดดอง หวงตี้จึงนำสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เหล่านั้นมารวมกัน และถือกำเนิดเป็นมังกร

                มีตำนานเล่าว่า จ้าวสมุทรกำเนิดบุตรทั้งเก้าที่มีลักษณะแตกต่างกัน เมื่อบุตรทั้งเก้าเติบโตขึ้น จ้าวสมุทรคิดที่จะมอบหมายงานให้กับลูกๆ ของตน จึงปลอมตัวเป็นคนแก่ไปสำรวจลักษณะนิสัยของลูกๆ และมอบหมายงานที่เข้ากับนิสัยของแต่ละตน

                ลูกคนแรก ปี้ซี่มีพละกำลังมหาศาล มอบหมายให้เป็นศิลาหินแบกใต้หล้า

                ลูกคนที่สอง ชือเหวิ่นชอบขึ้นไปชมทิวทัศน์ในที่สูง มอบหมายให้เฝ้ารักษาการณ์อยู่บนชายคาของตำหนัก หลังคา

                ลูกคนที่สาม ผูเหลาชอบส่งเสียงดัง มอบหมายให้เป็นหูของระฆัง

                ลูกคนที่สี่ ปี้อั้นมีวาจาคมคายเฉียบคม หน้าตาดุดัน มอบหมายให้เฝ้าประตูคุก

                ลูกคนที่ห้า เทาเถี้ยชอบการดื่มกิน มอบหมายให้ไปประดับอยู่ที่หม้ออาหารสามขา ภาชนะ

                ลูกคนที่หก ปาเซี่ยชอบเล่นน้ำ มอบหมายให้เฝ้าประจำการอยู่ที่ราวสะพาน

                ลูกคนที่เจ็ด หยาจื้อมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต มอบหมายให้ไปเฝ้าคลังอาวุธ ประดับอาวุธ

                ลูกคนที่แปด จินหนีนิสัยอ่อนโยน มอบหมายให้เฝ้าดูแลกระถางธูป คอยปรนนิบัติรับใช้พระพุทธรูป

                ลูกคนที่เก้า เจียวถูชอบความสงบ ความไม่วุ่นวาย มอบหมายให้เฝ้าตำหนัก ศาลเจ้า

                คำว่า “จ้าวสมุทรกำเนิดบุตรทั้งเก้า” ในวัฒนธรรมจีนที่สืบทอดกันมา เลข 9 แสดงถึงจำนวนที่มากที่สุด มีตำแหน่งที่สูงที่สุด และยังหมายถึงชนชั้นสูงอีกด้วย

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 13:47:49 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ตำนานเทพ
วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความหมายของบัตรประชาชน

                บัตรประชาชน คือ เอกสารที่ใช้พิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคล รูปแบบของบัตรประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคที่ 2 ได้ใช้ฟิล์มและเทคโนโลยีการพิมพ์เพื่อรักษาความปลอดภัย ภายในบัตรมีตัวเลขชิปเพื่อมาตรการรักษาข้อมูลภายในบัตรมีรูปถ่ายและข้อมูลเฉพาะบุคคล สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะอ่านข้อมูลได้

                บัตรประชาชนที่เก่าแก่ที่สุดเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง ราชสำนักได้ส่งแผ่นบันทึกชนิดหนึ่งที่เหมือนบัตรประชาชนให้แก่บรรดาข้าราชการ นั่นคือ หยูฝู คือแผ่นบันทึกข้อมูลประชาชนที่ทำจากเหล็กหรือไม้ที่แกะเป็นรูปปลา  แผ่นหยูฝูนี้ถูกยกเลิกไป แต่ยังคงพกพาหยูได้ (เข็มขัดที่แสดงถึงฐานะของบุคคล) จนถึงสมัยราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมาใช่ หยาผาย (แผ่นไม้รูปทรงโค้ง) จนถึงสมัยราชวงศ์ชิงที่ดูฐานะของบุคคลที่ปลายหมวก จนกระทั่งถึงปีคริสต์ศักราช 1936 รัฐบาลท้องถิ่นเมืองหนิงเซี่ยได้กำหนด “ระบบเอกสารพลเมือง” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของบัตรประชาชนในยุคปัจจุบัน

                บัตรประชาชนของไทยประกอบไปด้วยเลข 13 หลัก ซึ่งแต่ละหลักมีความหมายเพื่อเป็นการแบ่งประชาชนให้ชัดเจน

-          หลักที่ 1  หมายถึง ประเภทบุคคล มีทั้งหมด 8 ประเภท

  • ประเภทที่ 1 คือ เด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527
  • ประเภทที่ 2 เด็กประเภทที่ 1 ที่แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลาภายใน 15 วัน หลังวันเกิด
  • ประเภทที่ 3 คือ คนไทยหรือคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527
  • ประเภทที่ 4 คือ คนไทยหรือคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แต่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527
  • ประเภทที่ 5 คือ คนที่ได้รับอนุมัติให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกรณีตกสำรวจ
  • ประเภทที่ 6 คือ คนที่มาอาศัยอยู่ในไทยแต่ไม่ได้มีสัญชาติไทย เช่น ชาวเขาหรือชาวต่างชาติที่มาอยู่ชั่วคราว
  • ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ที่เกิดในไทย
  • ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือได้รับการแปลงเป็นสัญชาติไทย

บุคคลประเภทที่ 6 7 และ 8 จะมีแค่ทะเบียนประวัติเล่มสีเหลือง ไม่มีการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้

-          หลักที่ 2-3 หมายถึง จังหวัดที่อยู่

-          หลักที่ 4-5 หมายถึง เขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ

-          หลักที่ 6-10 หมายถึง เลขประจำตัวในทะเบียนบ้านที่แต่ละเขตหรืออำเภอออกให้

-          หลักที่ 11-12 หมายถึง ลำดับที่ของบุคคลที่จัดลำดับว่าเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

-          หลักที่ 13 เป็นตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 ตัวแรก

ที่มา ... หนังสือ "อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง ฉบับ เรียนคณิตฯสุดหินให้เข้าหัว"

สำนักพิมพ์ทองเกษม

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:23:23 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
วันที่ 08 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ซุนเห้งเจีย

                ซุนเห้งเจียเป็นตัวละครเอกที่เป็นที่รู้จักกันดีจากวรรณกรรมเรื่อง ไซอิ๋ว โดยเป็นหนึ่งในคณะเดินทางเพื่อไปอัญเชิญพระคัมภีร์ไตรปิฎก


                ตามประวัติในเรื่องบอกว่า หลังจากที่ผานกู่สร้างโลกแล้ว แผ่นดินได้แยกออกเป็น 4 ทวีป ที่ดินแดนตงเซิ่นสินโจว มีเมืองหนึ่งอยู่ติดทะเลชื่อ อ้าวไหลกั๋ว กลางทะเลมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อ ฮัวกั่วซาน มีหินก้อนหนึ่งได้เกิดระเบิดขึ้นและมีลิงตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากหินก้อนนั้น เนื่องจากได้รับแสงตะวันและแสงจันทรามาเป็นเวลานาน ทำให้ลิงตัวนั้นมีสติปัญญาอัญชาญฉลาด ไม่ธรรมดา และกล้าหาญ

                ในวันหนึ่งเหล่าฝูงลิงได้ไปเล่นน้ำที่น้ำตกแห่งหนึ่ง และลิงหินได้ค้นพบถ้ำหินหลังม่านน้ำตก จึงได้รับการขนานนานว่า เหม่ยโหวหวัง แต่เขากลับยังไม่พอใจสภาพชีวิตเช่นนี้ เขาจึงเริ่มออกเดินทางไกล ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อค้นหาอาจารย์รู้วิชาการเป็นอมตะ ไม่แก่เฒ่า จนเจออาจารย์ผูถีแห่งภูเขาหลิงไถ จึงได้รับเข้าเป็นศิษย์และตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ซุนหงอคง และได้เรียนรู้วิชาหลายอย่าง เช่น การแปลงร่าง 72 อย่าง การตีลังกา การขี่เมฆ หลังจากศึกษาจนเชี่ยวชาญก็กลับไปยังถ้ำม่านน้ำตก และได้ลงไปหาเจ้าสมุทรตงไห่ ก่อกวนจนได้พลองวิเศษที่ค้ำทะเลมาเป็นอาวุธประจำกาย

                ภายหลังได้ไปก่อกวนยมโลก สวรรค์จึงคิดจะจัดการแต่เทพไท่ไป๋จินซิงได้เสนอให้รับตำแหน่งแทน โดยหลอกให้ดูแลม้าสวรรค์และหลอกว่าเป็นเทพชั้นสูง แต่เมื่อจับได้จึงโมโหและตั้งตนเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง (ราชันย์สวรรค์) ต่อมาถูกกองทัพสวรรค์ยกทัพลงปราบและเทพเอ้อหลางเสินกำราบไว้ได้ จึงถูกนำไปลงโทษขังไว้ในเบ้าหลอมยาของเทพไท่ซ่างเหล่าจวิน แต่ก็รอดมาได้พร้อมกับได้ดวงตาอัคคีมา และก่อกวนสวรรค์อีกครั้ง

                ในที่สุดพระยูไลได้เข้ามาช่วยเหลือสวรรค์ในการกำราบซุนหงอคง โดยขังไว้ใต้เขาเบญจคีรีไว้ถึง 500 ปี เพื่อรอให้เป็นหนึ่งในคณะเดินทางช่วยเหลือพระถังซัมจั๋ง โดยพระถังซัมจั๋งช่วยออกมาจากเขาเบญจคีรีได้และตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ซุนเห้งเจีย แต่เนื่องจากนิสัยที่ดุดันเกินไป เจ้าแม่กวนอิมจึงมอบรัดเกล้าแก่พระถังซัมจั๋งเพื่อใช้ควบคุม


                 ระหว่างการเดินทางมีอุปสรรคต่างๆ อีกมากมาย และได้คณะเดินทางร่วมอีกหลายตน คือ ม้ามังกร ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋ง ในที่สุดทั้งคณะเดินทางก็สามารถอัญเชิญพระคัมภีร์กลับจากชมพูทวีปได้สำเร็จ และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอรหันต์โต่วจ้านเซิ่งในที่สุด

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:19:23 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ไซอิ๋ว
Prev1. . .13 14 15 16 17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team