• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความฝันในหอแดง

ความฝันในหอแดง (红楼梦) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “ความรักในหอแดง” หนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมอมตะจีน ที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน ผลงานการประพันธ์ของยอดกวีเอกแห่งยุคอย่าง เฉาเสวี่ยฉิน ด้วยคำประพันธ์ที่เรียบเรียงถ้อยวจีอย่างไพเราะ เรื่องราวสะท้อนสังคมอย่างชัดเจน ชวนให้น่าติดตาม จึงยากจะปฏิเสธได้ว่า ความฝันในหอแดงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดนวนิยายขนาดยาวของจีน


หลินไต้อวี้และเจี่ยเป่าอวี้คือตัวละครหลักของนวนิยายเรื่องความฝันในหอแดง โศกนาฏกรรมความรักของพวกเขาทั้งสองเริ่มต้น ณ โขดหินสามภพชาติ แดนสุขาวดี เมื่อต้นหญ้าเจี้ยงจูได้รับการดูแลจากเทพเสินอิงอย่างดี ต้นหญ้าต้นนั้นจึงขอสาบานว่าขอตอบแทนเทพเสินอิงด้วยทุกหยาดหยดของน้ำตา ครั้นเทพเสินอิงมาจุติเป็นมนุษย์ คำสาบานนั้นนางก็ไม่ขอบิดพลิ้ว


เจี่ยเป่าอวี้เกิดในตระกูลเจี่ยตระกูลดังแห่งเมืองจินหลิง เป็นเด็กชายที่มีชื่อเสียงตั้งแต่กำเนิดเนื่องด้วยตอนที่เขาเกิดเขาคาบหยกมาด้วย ทำให้ใครต่อใครต่างตกตะลึงกับการมาของหยกนี้ ทุกคนต่างรักใคร่ดูแลเขาอย่างดีที่สุด ครั้นถึงวันหนึ่งเมื่อหลินไต้อวี้ญาติผู้น้องจากเมืองหยางโจวเดินทางมาพำนักอยู่กับตระกูลเจี่ย เมื่อทั้งสองได้พบกันต่างรู้สึกว่านี่มิใช่เป็นการพบกันครั้งแรก หากแต่เป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งมากกว่า เจี่ยเป่าอวี้รู้สึกถูกชะตากับนางเป็นอย่างมาก เขาคอยตามดูแลใส่ใจนางอยู่เสมอ จนทั้งสองก็กลายเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากที่สุดไปโดยปริยาย


ความผูกพันของคนทั้งสองดำเนินไปอย่างราบรื่นเรียบร้อย กระทั่งเซวียเป่าซ่ายญาติทางฝั่งมารดาของเจี่ยเป่าอวี้มาพำนักอยู่ที่ตระกูลเจี่ยเช่นกัน เซวียเป่าซ่ายมีเชื้อสายเชื้อพระวงศ์ เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม สง่างาม เป็นที่รักของทุกคน นางเป็นสตรีที่ทุกคนมองว่าคู่ควรกับเจี่ยเป่าอวี้ที่สุด และสิ่งที่ทำให้คู่ควรกันคือเจี่ยเป่าอวี้มีหยกวิเศษที่เขาคาบมาเกิด ส่วนเซวียเป่าซ่ายก็มีจี้ทองประดับ อีกทั้งคำกลอนบนเครื่องประดับของทั้งคู่เชื่อมโยงกัน เป็นความบังเอิญราวกับสวรรค์กำหนดเอาไว้ก็ไม่ปาน


ความฝันในหอแดง หาใช่มีเพียงเรื่องราวความรักเท่านั้น ยังสะท้อนภาพของสังคม ระบบศักดินาที่เสื่อมถอย การชิงดีชิงเด่นที่อาศัยความเจ้าเล่ห์เพทุบายและแผนการทั้งหลายที่แสนแยบยล ชะตาชีวิตของคนหลายคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปลายทางแห่งชีวิตที่ใครก็คิดไม่ถึง จุดจบของลมหายใจที่ยากเกินคาดเดา พรหมลิขิตของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนกลับตาลปัตรไปตามครรลองแห่งสวรรค์อย่างที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:45:07 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความฝันในหอแดง
วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จูล่ง บุรุษแห่งเขาเสียงสาน

                ตัวละครในวรรณกรรมเรื่อง สามก๊ก มีอยู่ด้วยกันหลายร้อยตัว หากพูดถึงตัวละครที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ  จูล่ง เพราะนอกจากจะเป็นตัวละครที่มีสีสันเป็นอย่างมากแล้ว ยังมีการนำเรื่องราวจากวรรณกรรมในตอนเด่นของจูล่งมาเรียนกันอีกด้วย นั่นคือ เหตุการณ์ “จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” ก็ยิ่งทำให้ผู้อ่านรู้จักมากยิ่งขึ้น

                อาเต๊า คือ บุตรชายของเล่าปี่กับนางกำฮูหยิน ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งราชวงศ์จ๊กในเวลาต่อมา

                จูล่งคือใคร มาจากไหน และทำไมถึงได้มีวีรกรรมที่โดดเด่นเป็นพิเศษขนาดนี้


                ชื่อจริงของบุคคลคนนี้คือ เตียวหยุน และมีชื่อรองคือ จูล่ง ซึ่งแปลว่า บุตรมังกร เกิดเมื่อปี ค.ศ. 157 (บางตำราบอกว่าเกิดเมื่อปี ค.ศ. 168) เกิดที่จังหวัดเสียงสาน ซึ่งเป็นที่มาของฉายาวีรบุรุษแห่งเขาเสียงสาน ซึ่งสีประจำตัวของเขาคือ สีขาว โดยมีที่มาจากชื่อของเขาว่า หยุน แปลว่า เมฆ ดังนั้นการที่ชอบใส่เสื้อผ้าสีขาว ขี่ม้าสีขาว ถือทวน จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาในทุกๆ การออกรบ ที่บรรดาข้าศึกต่างเกรงกลัวเป็นพิเศษ

                ในช่วงวัยเด็ก บ้านเมืองประสบความยากลำบาก ทำให้จูล่งต้องฝึกฝนเพื่อเอาตัวรอด ไม่ว่าจะเป็นการยิงธนู การขี่ม้า วิชาทวน เป็นต้น เมื่อเติบโตขึ้นจูล่งเป็นผู้นำของกลุ่มคนหนุ่มในอำเภอ และเมื่อเห็นใบประกาศรับสมัครจึงคิดที่จะไปสังกัดกองกำลังเพื่อที่จะยุติความวุ่นวาย โดยกองกำลังแรกที่จูล่งไปสมัครคือ อ้วนเสี้ยว

                อ้วนเสี้ยวเป็นขุนพลที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงนั้น แต่จูล่งรู้สึกว่าอ้วนเสี้ยวไม่ได้มีความคิดที่จะปกป้องประเทศชาติแต่อย่างใด จึงปลีกตัวออกมาและเข้าสังกัดกับกองซุ้นจ้าน ขุนพลหนุ่มในขณะนั้น ซึ่งวีรกรรมเปิดตัวของจูล่งก็เกิดในช่วงนี้คือ กองซุ้นจ้านและอ้วนเสียวได้วางแผนร่วมมือกันในการตีกุ๋นจิ๋ว เมื่อตีได้แล้วก็ทำการขอส่วนแบ่ง แต่อ้วนเสี้ยววางแผนหักหลัง ซึ่งกองซุ้นจ้านเกือบเสียทีแต่ได้จูล่งซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีชื่อเสียงใดๆ ช่วยไว้ ในการต่อสู้กับบุนทิวขุนพลของอ้วนเสี้ยว

                ต่อมาจูล่งได้พบกับเล่าปี่ในช่วงที่เล่าปี่และพี่น้องร่วมสาบานเข้ามาพึ่งพากองซุ้นจ้าน และกองซุ้นจ้านที่เป็นเพื่อนในสมัยเรียนของเล่าปี่ได้มอบให้ดูแลอำเภอผิงหยวน พร้อมกับส่งจูล่งซึ่งเป็นนายกองทหารม้าไปช่วยฝึกทหารอีกด้วย ซึ่งต่างฝ่ายต่างเกิดความประทับใจ แต่จูล่งยังสังกัดกับกองซุ้นจ้านจึงไม่ได้เข้าร่วมในทันที

                หลังจากที่จูล่งกลับไปช่วยงานกองซุ้นจ้าน ตามวรรณกรรมเล่าว่า จูล่งจากไป 3-4 ปี เพื่อไว้ทุกข์ให้กับพี่ชายที่ตายไป แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าจูล่งเบื่อที่กองซุ้นจ้านไม่ได้มีใจคิดช่วยประเทศชาติจริงและไม่คิดใช้งานเท่าที่ควรจึงจากไป ต่อมากองซุ้นจ้านก็แพ้อ้วนเสี้ยวและต้องฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา

                จูล่งจึงได้มาอยู่ด้วยกันกับเล่าปี่ในช่วงเวลาที่เล่าปี่หนีจากอ้วนเสี้ยวและแยกจากกวนอู และเตียวหุย โดยอยู่ในตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์เล่าปี่และครอบครัว

                หลังจาก 3 พี่น้องร่วมสาบานได้พบกันแล้ว เล่าปี่ได้คิดที่จะโจมตีฮัวโต๋เมืองหลวงของโจโฉ โดยแบ่งออกเป็น 3 ทาง ซึ่งในศึกครั้งนี้ได้เป็นศึกสร้างชื่อให้กับจูล่งเป็นอย่างมากที่สามารถปะทะกับเคาทูได้ และด้วยกำลังที่น้อยกว่าเล่าปี่จึงต้องหนี และระหว่างที่หนีนั้นเองที่เตียวคับได้ติดตามมา จูล่งก็ได้แสดงฝีมืออีกครั้งที่สามารถสังหารองครักษ์ของเตียวคับได้

                เล่าปี่ได้หนีมาพึ่งเล่าเปียวและได้รับแต่งตั้งให้ดูแลเมืองซินเอี๋ยเป็นเวลากว่า 7 ปี ซึ่งขงเบ้งก็เข้ามาในช่วงเวลานี้นี่เอง หลังจากที่เล่าเปียวเสียชีวิต เล่าจ๋องบุตรคนเล็กได้ขึ้นตำแหน่งแทนและสวามิภักดิ์กับโจโฉ เล่าปี่จึงยกทัพหนีเพื่อไปยังแฮเค้า แต่ระหว่างทางเนื่องจากมีประชาชนติดตามมาเป็นอันมากทำให้เดินทัพได้ช้า และทัพของโจโฉติดตามมาทัน

                ในระหว่างนั้นจูล่งซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์ครอบครัวเล่าปี่ ได้พลัดพรากจากครอบครัวเล่าปี่ จึงขี่ม้าเข้าไปยังทัพของโจโฉเพื่อช่วยเหลือ และได้พบอาเต๊าและพยายามฝ่าทัพออกมาแต่เพียงลำพัง ซึ่งเป็นวีรกรรมที่สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมากให้กับจูล่ง โจโฉเห็นวีรกรรมดังกล่าวจึงคิดอยากได้จูล่งและให้คนสนิทไปถาม จูล่งจึงได้ประกาศชื่อให้เป็นที่รู้จักว่า “ข้าเตียวหยุน จูล่ง แห่งเสียงสาน”

                ซึ่งในศึกต่อๆ มาจูล่งได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์มากมาย  โดยเป็นองครักษ์คนสนิทของครอบครัวเล่าปี่ ในภายหลังเล่าปี่ได้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ จูล่งก็ได้เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ และเป็นห้าทหารเสือคนสุดท้ายที่เสียชีวิต นอกจากจูล่งจะมีความสามารถทางการต่อสู้แล้ว ในด้านกลยุทธ์ยังโดดเด่นไม่แพ้ใครอีกด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่ขงเบ้งพ่ายศึกให้กับสุมาอี้ จูล่งรับหน้าที่คุมทัพหลังในการถอยทัพ ซึ่งจูล่งสามารถถอยทัพกลับได้โดยไม่เสียไพร่พลแม้แต่คนเดียว โดยเป็นกลยุทธ์ที่มีเพียงจูล่งคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

                จูล่งถึงแก่กรรมในปี  ค.ศ. 229 รวมอายุ 72 ปี (บางตำราบอกว่า 61 ปี) มีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ร้องไห้ ซึ่งเสียงร้องไห้นี้ดังจนเสียงสะเทือนไปทั้ง 3 แผ่นดิน นับว่าเป็นตัวละครที่เสียชีวิตอย่างดี ซึ่งเป็นจำนวนน้อยของเรื่องสามก๊ก

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:51:56 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ สามก๊ก ตัวละคร
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปาบุ้นจิ้น เทพแห่งความยุติธรรม

                หากพูดถึงบุคคลในประวัติศาสตร์จีนที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีและอยู่ในอันดับต้นๆ คือ เปาบุ้นจิ้น เนื่องจากเรื่องราวของท่านถูกนำมาทำเป็นละครและเข้ามาฉายในประเทศไทย โดยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว


                เปาบุ้นจิ้นที่เรารู้จักกันนั้นเป็นการออกเสียงในวรรณกรรมตามสำเนียงของฮกเกี้ยน ซึ่งชื่อตามหลักเสียงจีนกลางแล้วเรียกว่า เปาเจิ่ง เป็นบุคคลที่มีประวัติอยู่ในสมัยซ่งเหนือ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าซ่งเหยินจง ตามประวัติแล้วเปาเจิ่งเกิดในครอบครัวนักวิชาการที่เมืองเหอเฝย มณฑลอันฮุย ซึ่งเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง ทำให้ไม่ได้รับความลำบากมากนัก แต่ก็ใกล้ชิดกับประชาชนชั้นล่างเป็นอย่างดี

                ในฉบับวรรณกรรมเล่าว่ามารดาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เปาเจิ่งยังเล็ก จึงได้รับการเลี้ยงดูจากพี่สะใภ้ ซึ่งเปาเจิ่งเคารพรักเหมือนเป็นมารดาแท้ๆ แต่จากประวัติจริงนั้นในปี ค.ศ. 1570 เปาเจิ่งซึ่งมีอายุ 29 ปี สามารถสอบเป็นขุนนางและได้เป็นบัณฑิตหลวง แต่ยังไม่รับราชการใดๆ เนื่องจากต้องการเลี้ยงดูบิดามารดาเสียก่อน และในช่วงเวลานั้นผู้ว่าราชการเมืองหลูที่ชื่อ หลิวยุน ผู้มีความซื่อตรงและมากความสามารถทางกวีได้เข้ามาเยี่ยมเยียนและสอนเปาเจิ่งมากมาย

                จนเมื่อบิดามารดาเสียชีวิตในปี 1580 เปาเจิ่งได้รับราชการโดยเริ่มจากปกครองอำเภอเทียนฉั่ง โดยได้แสดงฝีมือและความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ จนในที่สุดเป็นที่พึงพอใจของพระจักรพรรดิซ่งเหยินจง แล้วได้รับตำแหน่งเติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค แต่ในวรรณกรรมยังบอกว่าได้เป็นเจ้าเมืองไคฟงซึ่งเป็นเมืองหลวงอีกด้วย  ในช่วงเวลานั้นได้พิจารณาคดีต่างๆ มากมาย โดยไม่หวั่นเกรงผู้ที่มีอำนาจในสังคม หากทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามบทกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ประทับใจของประชาชนในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งขุนนางคัดค้าน ที่สามารถค้านการตัดสินใจของฮ่องเต้ได้อีกด้วย

                หลังจากที่เปาเจิ่งถึงแก่กรรมที่เมืองหลวงแล้ว ชาวบ้านที่ประทับใจในวีรกรรมของท่านได้นำเรื่องราวของท่านมาแต่งเป็นอุปรากรที่ได้รับความนิยมมากมาย ซึ่งเพิ่มเติมเรื่องราวต่างๆ เข้าไปให้สนุกสนานมากขึ้น และเอกลักษณ์ของเปาบุ้นจิ้นที่เรารู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ การที่มีใบหน้าดำและมีรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าผาก ก่อนที่จะนำมาสร้างเป็นละครที่โด่งดังมากขึ้นอีกด้วย

                นอกจากเปาบุ้นจิ้นที่เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ยังมีตัวละครอื่นๆ อีกที่ช่วยเพิ่มสีสัน เช่น

กงซุนเช่อ เป็นเลขาประจำตัวของเปาบุ้นจิ้น มีความรอบรู้เป็นอย่างมากทั้งด้านการแพทย์และดาราศาสตร์


จั่นเจา องครักษ์ที่มีฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน ได้รับฉายาว่า แมวหลวง


หวั่งเฉา หม่าฮั่น จางหลง เจ้าหู่ ผู้ช่วยของเปาบุ้นจิ้น มีเรื่องเล่าว่าเคยเป็นนักเลงมาก่อน แต่แพ้ให้กับจั่นเจาจึงเข้ามาทำงานให้กับเปาบุ้นจิ้น

อ๋องแปด เป็นผู้สนับสนุนการทำงานของเปาบุ้นจิ้นเป็นอย่างดี ในการคลี่คลายคดีที่ยากลำบาก

ราชครู ขุนนางกังฉินที่เป็นศัตรูกับเปาบุ้นจิ้นมาโดยตลอด

ตี้ชิง หากเปรียบเปาบุ้นจิ้นเป็นดาวบุ๋นที่ดูแลบ้านเมืองแล้ว ตี้ชิงคือดาวบู๊ที่คอยปกป้องแผ่นดินจากต่างแดน ซึ่งหลายครั้งมีบทบาทในการช่วยเหลือเปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้นเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการทำงานเป็นอย่างมาก ซึ่งฮ่องเต้เคยเอ่ยว่า หากวันใดที่เปาบุ้นจิ้นยิ้ม วันนั้นน้ำในแม่น้ำฮวงโหคงจะใส แม่น้ำฮวงโหหรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ แม่น้ำเหลือง เนื่องจากมีตะกอนดินปะปนอยู่ตลอดเวลาและมีความขุ่นมาก

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเปาบุ้นจิ้น

  • เสียงที่บรรดาทหารในศาลร้องเวลาเปิดศาลว่า “เว่ย... หวู” มีความหมายว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นคำที่ใช้ร้องเปิดศาลตามธรรมเนียมปฏิบัติของศาลจีนสมัยโบราณ เพื่อแสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของศาล
  • เปาบุ้นจิ้นเป็นผู้วางรากฐานความคิดที่ว่า “เศรษฐกิจมั่งคั่ง การทหารเข้มแข้ง” ซึ่งได้สืบทอดต่อจนเกือบประสบความสำเร็จในยุคสมัยต่อมา
  • เครื่องประหารชีวิตของเปาบุ้นจิ้นที่รู้จักกันดีมีอยู่ 3 อย่าง แบ่งตามลักษณะของหัว ได้แก่ หัวสุนัขไว้ประหารประชาชนทั่วไป หัวเสือไว้ประหารเหล่าขุนนาง และหัวมังกรไว้ประหารเหล่าเชื้อพระวงศ์
  • มีคำกล่าวยกย่องว่า กลางวันเปาบุ้นจิ้นตัดสินคดีในโลกมนุษย์ และกลางคืนตัดสินคดีในยมโลก
  • ในปัจจุบันมีการสร้างศาลเปาบุ้นจิ้นที่เมืองไคฟง โดยมีอนุสาวรีย์และแบบจำลองเครื่องประหารทั้งสามไว้ด้วย
  • ประเทศไทยมีศาลเจ้าเปากง (เปาบุ้นจิ้น) ที่อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง
  • เปาบุ้นจิ้นได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์
  • จากกระแสของละครเรื่องเปาบุ้นจิ้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย จึงมีผงซักฟอกยี่ห้อเปาบุ้นจิ้นขึ้น เพราะคิดว่าผ้าจะได้ขาวเหมือนความยุติธรรมของเปาบุ้นจิ้น
เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:32:31 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ เปาบุ้นจิ้น
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สาธารณรัฐประชาชนจีน

                หลังจากประเทศจีนปกครองประเทศด้วยระบบจักรพรรดิมาเป็นเวลานาน มีราชวงศ์สืบทอดต่อกันมาหลายพันปี จนมาสิ้นสุดลงในสมัยราชวงศ์ชิง ในปี ค.ศ.1911 เมื่อ ดร.ซุนยัดเซ็น สามารถนำกองกำลังทหารเข้าล้มล้างและสถาปนาการปกครองแบบสาธารณรัฐขึ้นมาได้

ดร.ซุนยัดเซ็น

                การปกครองในช่วงแรกเป็นแบบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง มีชื่อเรียกประเทศว่า สาธารณรัฐจีน (Republic of China :  中華民國) หลังจาก ดร.ซุนยัดเซ็น ถึงแก่กรรมแล้ว ประธานาธิปดีคือ นายพลเจียงไคเช็ค ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสาธารณรัฐจีนประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์

ธงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน

                หลังจากการร่วมมือชั่วคราวเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามกลางเมืองได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่แล้วในที่สุดกองทัพประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ก็สามารถเอาชนะพรรคก๊กมินตั๋งได้ โดยเหมาเจ๋อตงสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China :  中華人民共和國) ส่วนทางด้านสาธารณรัฐจีนได้ไปตั้งถิ่นฐานที่เกาะไต้หวันแทน

                ในช่วงแรกของการปกครองจะใช้หลักการคอมมิวนิสต์อย่างเต็มรูปแบบ แต่ได้ลดความเข้มงวดลงและเพิ่มเสรีภาพทางการค้ามากขึ้นในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง

                สาธารณรัฐประชาชนจีนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่นับรวมไต้หวันที่อาจจะถือเป็นมณฑลที่ 23) 5 เขตปกครองตนเอง และ 4 มหานคร ซึ่งแต่ละมณฑลจะมีเมืองหลวงของแต่ละมณฑล และมีผู้ปกครองแต่ละมณฑลแยกกันไป


                ในปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เป็นประเทศที่มีการส่งออกมาเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมียอดเงินสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย

                รูปแบบการปกครองในช่วงแรกมีตำแหน่งประธานรัฐบาลประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเปลี่ยนเป็นประธานแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และในปัจจุบันคือ ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปัจจุบันคือ หูจิ่นเทา ซึ่งจะหมดวาระลงในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2556

นายกโจวเอินไหล

            และยังมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ในการปกครองประเทศอีกด้วย โดยนายกรัฐมนตรีคนแรกคือ โจวเอินไหล ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายเวินเจียเป่า

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:23:04 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
Prev1. . .11 12 13 14 15 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team