• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความหมายแฝงของไซอิ๋ว

                ทุกคนคงจะรู้จักเรื่องไซอิ๋วเป็นอย่างดี ไซอิ๋วเป็น 1 ใน 4 วรรณกรรมยอดเยี่ยมของจีน เนื้อหามีที่มาจากการนำบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์จีนคือ พระถังซัมจั๋ง พระภิกษุในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ได้เดินทางไปยังอินเดียเพื่อนำพระไตรปิฎกมาเผยแพร่ในประเทศจีน มาเสริมเรื่องราวให้น่าสนใจมากขึ้น โดยเป็นบทประพันธ์ของอู๋เฉิงเอิน นักประพันธ์ในสมัยราชวงศ์หมิง

                ในวรรณกรรมนั้นมีการเพิ่มเติมเรื่องราวแฟนตาซีเข้าไปจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่านจำนวนมากโดยเฉพาะเหล่าเด็กชาย เพราะมีการนำสัตว์เข้ามาเป็นตัวละครและมีการต่อสู้ที่น่าติดตามเป็นอย่างมาก ความนิยมในวรรณกรรมเรื่องนี้ได้ส่งผลให้มีการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และการ์ตูน นอกจากนี้ยังมีการ์ตูนที่ได้รับอิทธิพลและดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว เช่น การ์ตูนยอดฮิตเรื่อง Dragon Ball เป็นต้น

                ตัวละครที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องไซอิ๋วคือ คณะเดินทางทั้ง 5 ได้แก่ พระถังซัมจั๋ง ซุนเห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้ามังกร ในระหว่างการเดินทางต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองลึกลับ ปีศาจที่ต้องการกินเนื้อพระถังซัมจั๋ง ภัยธรรมชาติ ซึ่งกว่าจะผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ก็ต้องอาศัยความกล้าหาญและการช่วยเหลือจากเหล่าเทพต่างๆ

                หากมองในเนื้อหาธรรมที่แฝงไว้ในเรื่องแล้ว ตัวละครแต่ละตัวจะมีความหมายทางสัญลักษณ์ตัวแทนของสิ่งต่างๆ ที่แสดงให้เห็นชัดได้ในนิสัยของแต่ละตัวละคร

พระถังซัมจั๋ง จากลักษณะนิสัยในเรื่อง เช่น ความหูเบา อ่อนโยน แต่หนักแน่นในเจตนาพระพุทธศาสนา แสดงออกถึงตัวแทนของมนุษย์


ซุนเห้งเจีย จากนิสัยที่กล้าหาญ ซุกซน มีความแข็งแกร่ง เฉลียวฉลาด เป็นตัวแทนของปัญญา


ตือโป๊ยก่าย ชื่อมีความหมายว่า ศีล 8 ประการ เป็นตัวแทนของศีล


ซัวเจ๋ง มีความตั้งใจ แน่วแน่ เชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ เป็นตัวแทนของสมาธิ

หลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับไตรลักษณ์ประกอบไปด้วยศีล สมาธิ และปัญญา หลายครั้งที่คณะเดินทางเกิดอุปสรรคและผิดใจกัน ทำให้คณะเดินทางไม่ครบจนทำให้ผ่านอุปสรรคไปไม่ได้ เมื่อครบทั้งหมดก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคและผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี  ซึ่งในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 09:54:45 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ไซอิ๋ว
วันที่ 06 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขงจื้อ ปรมาจารย์แห่งแผ่นดิน

                ในประวัติศาสตร์ของจีนนั้น บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คงมีชื่อของขงจื้ออยู่เป็นแน่ ซึ่งขงจื้อเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในสมัยชุนชิว โดยได้ถ่ายทอดคำสอนจนเป็นที่ยึดมั่นของชาวจีนมาเป็นระยะเวลานาน และยังคงเป็นสิ่งที่ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน

                ขงจื้อ เกิดเมื่อ 8 ปีก่อนพุทธศักราช ซึ่งตรงกับปีที่ 21 ของรัชกาลโจวหลิงหลาง ในแคว้นหลู่ ในยุคสมัยชุนชิวนั้นเป็นช่วงที่เกิดแคว้นต่างๆ มากมาย แต่ละแคว้นก็พยายามที่จะแย่งชิงอำนาจและความเป็นใหญ่ โดยแต่ละปีนั้นจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จนเป็นที่มาของชื่อยุคนี้นั้นเอง


                บิดาของขงจื้อชื่อ ขงสูเหลียงเหอ เป็นคนที่มีพละกำลังกล้าแกร่งมาก โดยเมื่อวัย 64 ปี ได้ภรรยาอีกคนแซ่หยวน และได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งคือ ขงจื้อ เมื่อขงจื้ออายุได้ 3 ขวบ บิดาก็ถึงแก่กรรม ในวัยเด็กขงจื้อชอบเล่นเลียนแบบการไหว้เจ้า และเป็นคนใฝ่การเรียนรู้เป็นอย่างมาก จนเป็นที่รู้จักไปทั่วแคว้นหลู่ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็แต่งงานและให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งคือ ขงหลี่ ในช่วงเวลานั้นขงจื้อรับราชการและมีผลงานดีเด่นเป็นที่ยกย่อง เจ้าแคว้นหลู่ได้ส่งขงจื้อไปเรียนรู้เกี่ยวกับจารีตประเพณีในราชสำนักโจว ในช่วงเวลานี้ขงจื้อได้พบกับเล่าจื้อซึ่งปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า โดยได้สนทนากัน ขงจื้อกล่าวเปรียบเปรยเล่าจื้อว่าเป็นเหมือนมังกร

                เมื่อกลับยังแคว้นหลู่ ขงจื้อได้รับราชการอีกครั้ง พร้อมกับเปิดโรงเรียนเอกชนสอนประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกด้วย นับเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าในยุคสมัยนั้นวิชาความรู้ยังไม่ได้เผยแพร่อย่างกว้างขวาง ยังคงเป็นเพียงการศึกษาในกลุ่มชนชั้นปกครองเท่านั้น และขงจื้อได้เปิดกว้างทางการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยมีคำกล่าวว่า การที่มีเพียงเนื้อมาเป็นค่าเรียนก็เพียงพอแล้ว

                การรับราชการของขงจื้อในช่วงแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนคดีความต่างๆ ลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ใครลืมสิ่งของใดไว้ก็ไม่มีผู้ใดหยิบขโมย บรรดาแคว้นอื่นๆ เห็นแล้วจึงพยายามขัดขวาง มีการนำสาวงามมาถวาย ทำให้อ๋องแคว้นหลู่ลุ่มหลง ละเลยกิจการต่างๆ ของแคว้นไป ขงจื้อรู้สึกท้อใจเป็นอย่างมาก จนเมื่อเกิดเหตุการณ์จลาจลในแคว้นหลู่ ขงจื้อจึงอพยพหนีภัยไปยังแคว้นต่างๆ ซึ่งหลายแคว้นก็ดูเหมือนจะต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้ใช้งานขงจื้อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะในหลายท้องที่ต่างก็มีขุนนางท้องถิ่นที่มีอำนาจอยู่แล้ว และไม่ต้องการที่จะเสียอำนาจที่เคยมีอยู่ไป ในที่สุดหลังจากเดินทางกว่า 14 ปี ขงจื้อก็เลือกที่จะกลับมายังแคว้นหลู่ตามเดิม

                ขงจื้อที่มีอายุมากแล้วนั้น ไม่ได้สนใจที่จะรับราชการอีกต่อไป หากแต่ต้องการสอนความรู้ต่างๆ สร้างบุคลากรให้เป็นบุคคลเก่งในหลายด้านแทน  เขียนหนังสือต่างๆ มากมาย โดยหนังสือที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ หนังสือชุนชิว (เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวของยุคสมัยนี้เอาไว้) ขงจื้อรับนักเรียนต่างๆ มากมายกว่า 3,000 คน ซึ่งในจำนวนเหล่านี้มี 72 คน ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์เอกของขงจื้อ

                ในบั้นปลายชีวิต เมื่อขงหลี่ผู้เป็นบุตรชาย และเหยียนหุยกับจื่อลู่ซึ่งเป็นศิษย์คนโปรดถึงแก่กรรม ขงจื้อก็เริ่มปลงในชีวิตและล้มป่วยลง จนจากไปเมื่ออายุได้ 73 ปี

                คำสอนของขงจื้อได้ถูกจดบันทึกไว้ โดยเป็นบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างขงจื้อกับลูกศิษย์ต่างๆ ในหนังสือ “หลุนอวี่” และต่อมาได้รับการยกย่องจนกลายเป็นลัทธิที่สำคัญของจีน และเป็นสิ่งที่แสดงออกในวัฒนธรรมของจีนมาทุกยุคทุกสมัย

                คำสอนของขงจื้อ

  • เดินไปกับอีกสองคน ย่อมมีครูเราอยู่ด้วย เลือกข้อดีของเขาแล้วเอาอย่าง พิจารณาข้อบกพร่องของเขาแล้วปรับปรุงตน
  • แม้มีเพียงเนื้อแห้งเป็นค่าคุรุทักษิณา เราก็หาเคยไม่รับสอนไม่
  • จื่อกงถามหลักการปกครอง ขงจื้อตอบว่า “อาหารสมบูรณ์ กองทัพพร้อมสรรพ ประชาชนมีศรัทธา” จื่อกงถามว่า “หากจำเป็นควรตัดข้อใดในสามข้อนี้ก่อน” ตอบว่า “ตัดกองทัพ” จื่อกงถามต่อว่า “หากจำเป็นต้องตัดอีกล่ะ?” ตอบว่า “ตัดอาหารเพราะความตายเป็นของธรรมดามาแต่โบราณ หากประชาชนไม่ศรัทธา รัฐบาลย่อมอยู่ไม่ได้”
  • ม้าดีมิใช่ที่กำลัง หากเพราะคุณสมบัติ

             ลัทธิขงจื้อ

หลังจากขงจื้อถึงแก่กรรมแล้ว คำสอนของขงจื้อยังคงได้รับการถ่ายทอดจากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ต่อมาเม่งจื้อ ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อ ได้รวบรวมคำสอนต่างๆ และได้พัฒนาจนกลายเป็นลัทธิขงจื้อในเวลาต่อมา ลัทธิขงจื้อนี้ได้เป็นหลักยึดจิตใจของประชาชนมาโดยตลอด แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่เกือบถูกทำลายลง เช่น จากเหตุการณ์ฝังบัณฑิตเผาตำรา ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของพระพุทธศาสนา สมัยที่สตรีเป็นใหญ่ในรัชกาลของบูเช็คเทียน และการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนของพรรคคอมมิวนิสต์

             สุสานขงจื้อ


ศาลเจ้าข่งจื้อ สุสานตระกูลข่ง และคฤหาสน์ตระกูลข่ง ตั้งอยู่ที่เมืองชวีฟู่ มณฑลซานตง หรือเรียกทั้งสามสถานที่นี้รวมกันได้อีกชื่อว่า “ซานข่ง” ซานข่งมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อยู่ในครอบครองเกือบ 1,000 หลัง ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 14,175 ตารางกิโลเมตร

ศาลเจ้าขงจื้อมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก เป็นรองเพียงพระราชวังต้องห้าม เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในสมัยโบราณของจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นตั้งแต่ 478 ปีก่อนคริสตกาล โดยสร้างขึ้นเพียงสามหลังต่อมาจึงได้สร้างเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ละยุคสมัย

สุสานตระกูลข่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สุสานจื้อเซิ่ง” เป็นสถานที่ฝังศพของท่านขงจื้อรวมถึงลูกหลานของท่าน สุสานนี้ใช้ฝังศพมาเป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว โดยฝังศพลูกหลานท่านขงจื้อไปแล้วมากกว่าหนึ่งแสนคน

 ที่มา - หนังสือไปเที่ยวมรดกโลกจีนกันเถอะ ฉบับการ์ตูน

สำนักพิมพ์ทองเกษม

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:42:48 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์จีน สถานที่ท่องเที่ยว
วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสมุนไพรจีน

                ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อร่างกายคนเราเกิดอาการเจ็บป่วยจะสามารถแบ่งภาวะโรคได้เป็น 4 ภาวะคือ ภาวะเย็น ภาวะร้อน ภาวะแกร่ง และภาวะพร่อง โดยมีลักษณะการแสดงออกอยู่ทางด้านบน ด้านล่าง ภายนอก และภายใน แตกต่างกัน รวมถึงตำแหน่งของการเกิดโรคอาจอยู่ที่เส้นลมปราณหรืออวัยวะภายในที่แตกต่างกันด้วย

                เพราะเหตุนี้ยาสมุนไพรจีนที่นำมารักษาโรคต่างๆ จึงได้แบ่งหมวดหมู่เป็นฤทธิ์ทั้ง 4 กับ รสทั้ง 5 การเข้าเส้นลมปราณ และกลไกการออกฤทธิ์ของยาใน 4 รูปแบบ (ข้างบน ข้างล่าง เข้าใน ออกนอก) เมื่อแยกภาวะของโรคและเข้าใจถึงสภาพของการเจ็บป่วยแล้ว ก็จะสามารถจับประเด็นการรักษาได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นก่อนจะเลือกใช้ยา จึงจำเป็นต้องรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะพิเศษ รวมถึงสรรพคุณต่างๆของตัวยาให้ดี เพื่อให้การรักษาโรคได้ผลดี และสามารถปรับสมดุลแก่ร่างกายได้ถูกต้อง

                ฤทธิ์ทั้ง 4 กับรสทั้ง 5

            หมายถึง ฤทธิ์ยาและรสชาติของสมุนไพร

ฤทธิ์ทั้ง 4 ได้แก่ เย็น ค่อนเย็น ร้อง และอุ่น (ยาบางตัวที่ออกฤทธิ์กลางๆ หรือร้อนเย็นไม่แจ่มชัด) การจะแยกแยะฤทธิ์ของตัวยาแต่ละตัวนั้น เป็นผลจากการตรวจสอบต่อการรักษาของตัวยานั้นๆ ที่มีต่อร่างกาย เช่น ตัวยาสำหรับรักษาภาวะเย็นจะเป็นตัวยาที่มีฤทธิ์อุ่นและร้อน ตามหลักการใช้ยาที่ว่า “ผู้ที่มีภาวะร่างกายร้อน ให้รักษาด้วยยาที่เย็น ผู้ที่มีภาวะร่างกายเย็น ให้รักษาด้วยยาที่ร้อน”

รสทั้ง 5 ได้แก่ เผ็ด หวาน เปรี้ยว ขม เค็ม การแยกแยะรสทั้ง 5 นั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการชิม นอกจาก 5 รสชาตินี้แล้ว ยังมีรสจืดและรสฝาด ตัวยาที่มีรสจืดจะจัดเข้าไปรวมอยู่กับตัวยาที่มีรสหวาน และตัวยาที่มีรสฝาดนั้นจัดเข้าไปรวมอยู่กับตัวยาที่มีรสเปรี้ยว (โดยทั่วไปจึงเรียกว่า รสทั้ง 5) รสยาที่แตกต่างกันก็จะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวยาที่มีรสเผ็ดจะมีส่วนผสมของน้ำมันระเหย ซึ่งมีสรรพคุณช่วยในการกระจายขับเคลื่อนพลัง ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน

จากหนังสือ รู้เลือกรู้ใช้ 100 สมุนไพรจีน

แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณณาวิบูล

สำนักพิมพ์ทองเกษม

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 08:51:36 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ สุขภาพ
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชาวจีนโพ้นทะเล ตอนที่ 2

                 เนื่องจากประเทศที่ตั้งของไทยและจีนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก และในอดีตบางช่วงมีพรมแดนที่ติดต่อกัน ทำให้มีการเดินทางแลกเปลี่ยนสินค้า ความรู้ และการค้าขายมานับแต่โบราณ

                ในอดีตบริเวณที่ตั้งของไทยในปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรต่างๆมากมายและจากหลักฐานได้พบว่ามีการติดต่อค้าขายกันมาโดยตลอด โดยมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผา เรือสำเภา สินค้าอื่นๆ ในเส้นทางเรือหลายรายการ

                ในสมัยสุโขทัยมีหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดว่า มีการติดต่อกับราชสำนักจีนในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งตรงกับราชวงศ์หยวน โดยมีการเจรจาแลกเปลี่ยนสินค้าและความรู้กัน ซึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การนำช่างฝีมือเข้ามาสอนการผลิตเครื่องสังคโลกที่โด่งดังนั่นเอง

                ต่อมาในสมัยอยุธยาชาวจีนได้เข้ามาอยู่ในดินแดนเป็นจำนวนมาก พระมหากษัตริย์ทรงจัดสรรที่ดินให้ ภายใต้การดูแลของกรมท่าซ้าย และมีขุนนางที่ดูแลคือ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี เนื่องจากชาวจีนมีความสามารถในการเดินเรือจึงรับจ้างเดินเรือสินค้าเพื่อค้าขาย และบางคนมีความสามารถในการค้าขายซึ่งเข้าไปประมูลกิจการของรัฐหลายอย่าง เช่น นายอากร


                การค้าที่ไทยกับจีนทำกันเป็นพิเศษคือ การจิ้มก้อง ซึ่งเป็นการค้าแบบรัฐบรรณาการ โดยที่ไทยจะนำสินค้าที่เป็นที่ต้องการส่งไปถวายแก่พระจักรพรรดิในประเทศจีน และประเทศจีนจะส่งสิ่งตอบแทนที่มีมูลค่าสูงกว่าเป็นการตอบแทน โดยสินค้าที่ไทยมักส่งไป เช่น ของป่า ผ้าไหม เป็นต้น

                คนจีนมาตั้งรกรากในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในทุกยุคสมัย และเนื่องจากการที่ไม่ต้องเป็นไพร่เข้าเวร จึงมีเวลาในการทำการค้ามากกว่า รวมถึงการเป็นนายอากรให้กับทางรัฐอีกด้วย และนอกจากการค้าแล้ว การศึกสงครามยังมีกองกำลังจีนอาสาเข้าร่วมรบอีกด้วย เช่น ในสงครามยุทธหัตถีของพระนเรศวรมหาราช

                การอพยพของชาวจีนมายังไทยนั้น เกิดจากคำเล่าลือของผู้ที่เคยมาแล้วว่า “ดินแดนสยามมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ หว่านเมล็ดพรรณใดก็ขึ้นทุกที่ อาหารการกินการบริโภคสมบูรณ์” จึงทำให้ชาวจีนเดินทางมาไทยมากขึ้น

                โดยมากจะเดินทางมาทางเรือ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีท่าขึ้นแตกต่างกันไป เช่น ชาวกวางตุ้งมักขึ้นฝั่งที่บริเวณเกาะสีชัง เป็นต้น ชาวจีนในประเทศไทยมีด้วยกันหลายกลุ่ม แต่ที่มีเป็นจำนวนมากที่สุดคือ ชาวแต้จิ๋ว (เป็นชนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน) ชาวกวางตุ้ง ชาวฮกเกี๊ยน และชาวไหหลำ โดยการอพยพครั้งใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นในช่วงของสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคก๊กมินตั๋ง กับช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรม

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:12:50 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป
Prev1. . .10 11 12 13 14 . . .17 Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team