• บริษัท นานมี จำกัด
  • โรงเรียนสอนภาษานานมี
  • สำนักพิมพ์ ทองเกษม
  • ร้านหนังสือจีนนานมี
Thongkasem Publishing
  • HOME
  • ABOUT
    THONGKASEM
  • NEWS&
    PROMOTIONS
  • CATALOG
  • BOOKS STORE
  • E-BOOKS
  • KNOWLEDGE
  • MEMBER
    AREA

    Member Login

    Username
    Password
      
     สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน

ห้องความรู้

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช

ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช (วัดไตรมิตรฯ) : คลังความรู้คู่เยาวราช

               

 

 หากพูดถึงย่านการค้าที่โด่งดังและคราคร่ำไปด้วยชาวไทยเชื้อสายจีน ทุกคนย่อมนึกถึงย่าน “เยาวราช” ย่านการค้าที่สำคัญใจกลางกรุงเทพมหานคร สถานที่ที่เป็นที่กล่าวถึงของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ  แม้ว่าเยาวราชจะเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้างแค่ไหน แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่แท้จริงของถนนแห่งนี้ เกร็ดความรู้ทองเกษม ฉบับนี้ จึงขออาสาพาทุกท่านไปรู้จักกับสถานที่อันเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ที่สำคัญแห่งหนึ่ง ที่รวบรวบประวัติความเป็นมาของย่านเยาวราชเอาไว้ สถานที่แห่งนี้คือ ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรฯ  

 ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ตั้งอยู่บนพระมหามณฑปฯ ชั้นที่ ๒ ของวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร โดยภายในแบ่งออกเป็น 6 ห้องจัดแสดง ซึ่งถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างปราณีต ทำให้ผู้เข้าชมเสมือนได้ก้าวผ่านแต่ละยุคสมัยไปพร้อมๆ กับย่านเยาวราช

ห้องที่ 1 เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี

 บอกเล่าความเป็นมาคร่าวๆ ของชุมชนสำเพ็ง – เยาวราช ย่านการค้าเก่าแก่ที่สำคัญของกรุงเทพฯ ความผูกพันและความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของชาวเยาวราช รวมถึงลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวชาวจีนในสมัยนั้น ผ่านภาพฉายของการสนทนาระหว่างอากงและหลานชาย

ห้องที่ 2 กำเนิดชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 บอกเล่าถึงจุดกำเนิดของชุมชนชาวจีนย่านสำเพ็ง และการเดินทางของชาวจีนโพ้นทะเลที่โล้สำเภาเข้ามาตั้งรกราก ณ สยามนคร ในช่วงรัชกาลที่ 1 - 3 จนกระทั่งสำเพ็งได้กลายเป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ
ห้องที่ 3 เส้นทางสู่ยุคทอง
 บอกเล่าถึงพัฒนาการของชุมชนจีนจากตลาดสำเพ็ง สู่ความเป็นย่านธุรกิจสมัยใหม่บนถนนเยาวราช  โดยภายใน จัดแสดงโมเดลขนาดใหญ่ที่จำลองถนนเยาวราชและร้านค้าบ้านเรือนต่างๆ ในช่วงปีพ.ศ. 2500 ซึ่งถือเป็นยุครุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และการบันเทิง
ห้องที่ 4 ตำนานชีวิต
 ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของกลุ่มเจ้าสัวคนสำคัญย่านเยาวราช ที่สร้างคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงให้กับประเทศไทย รวมถึงเป็นแบบอย่างของชาวเยาวราชและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลัง

ห้องที่ 5 พระบารมีปกเกล้า
 แกลเลอรี่ภาพถ่ายและวีดิทัศน์จัดแสดงเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลปัจจุบันต่อชุมชนเยาวราช และพระราชกรณียกิจมากมายที่เชื่อมความสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย – จีนให้แน่นแฟ้น

ห้องที่ 6 เยาวราชวันนี้
 นำเสนอภาพลักษณ์ที่โดดเด่น 4 แง่มุมของถนนเยาวราชในปัจจุบัน อันได้แก่ ถนนสายทองคำ ย่านตลาดที่ใหญ่สุดของประเทศ แหล่งวัฒนธรรมจีน และแหล่งรวมร้านอาหารอร่อย

           หากใครที่กำลังหลงใหลในมนต์สเน่ห์ของย่านเยาวราช หรือต้องการหาสถานที่เที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแบบสบายๆ และได้ความรู้ในกรุงเทพมหานครฯ ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรฯ อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจของคุณในวันว่างนี้ก็ได้...

 

 

 

 

ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช วัดไตรมิตรฯ

เปิดทำการวันอังคาร-อาทิตย์  เวลา 8.00-17.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ 02 623 3329  www.wattraimitr-withayaram.com

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 15:44:54 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ
วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

พิพิธภัณฑ์ผ้า พระราชินี

พิพิธภัณฑ์ผ้า พระราชินี


 

 

ทันทีที่ก้าวเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ ผู้เยี่ยมชมจะได้สัมผัสกับความงามของตัวอาคารเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่การตกแต่งไปจนถึงบันไดหินอ่อนที่ทอดสู่พื้นที่จัดแสดงบนชั้น 2 ของอาคาร จำนวน 4 ห้อง ดังนี้

ห้องจัดแสดง 1: “ราชพัสตราจากผ้าไทย”

จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดสากลในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวม 16 องค์ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักออกแบบไทยและต่างชาตินำผ้าไหมไทยมาใช้ในการตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ที่มีความงดงามด้วยลวดลายผ้าละเอียดอ่อนและสีสันสวยงาม สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น ทำให้เกิดความนิยมสวมใส่ชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าไทยทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นพระราชกุศโลบายในการเผยแพร่และส่งเสริมผ้าไทย รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมด้านการแต่งกายของสตรีไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับสากล

ห้องจัดแสดง 2: “ไทยพระราชนิยม”

จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยม ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กว่า 30 องค์ ซึ่งพระองค์ทรงเมื่อครั้งโดยเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศตั้งแต่เมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่ละแบบมีความงดงามและแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักสมัยโบราณให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างลงตัว ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในการสร้างสรรค์และสืบสานการแต่งกายแบบไทยที่แสดงถึงเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผ้าและเครื่องแต่งกายในราชสำนักในห้องเดียวกันนี้อีกด้วย

ห้องจัดแสดง 3 และ 4: “ศิลปาชีพ: พระหัตถ์ที่ทรงงานเพื่อแผ่นดิน”

จัดแสดงฉลองพระองค์ทรงงานกว่า 10 องค์ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของศูนย์ศิลปาชีพ ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 เมื่อครั้งเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยที่อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม และทรงมีพระราชดำริถึงการสร้างอาชีพแก่ราษฎร โดยทรงกำชับคณะทำงานที่ลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรและพระราชทานความช่วยเหลือว่า "แม้ผ้าถูเรือนก็อย่าละเลย" เพราะอาจได้พบลายผ้าโบราณ ซึ่งจะสืบไปถึงช่างทอและเรื่องราวต่างๆ ได้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นชีวิตผ้าทอมือไทยที่กำลังจะสูญหาย พร้อมกับพัฒนาฐานะและคุณภาพชีวิตราษฎรไทยทุกภูมิภาคให้สามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืนมาเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี

นอกจากนี้ บริเวณชั้นล่างยังมี ห้องกิจกรรม ที่เปิดให้ผู้เข้าชมได้เข้าร่วมทำกิจกรรมซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหานิทรรศการ ตลอดจนเกร็ดความรู้ต่างๆ ผ่านการทดลอง การสัมผัส และการปฏิบัติจริง หรือหากใครต้องการของฝากก็สามารถแวะไปเลือกหากันได้ที่ร้านพิพิธภัณฑ์ โดยพิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. และโปรดแต่งกายสุภาพในการเข้าชม

 

 สถานที่ตั้ง:

 พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
 หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง
 ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร  
 กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ ประเทศไทย  

 โทรศัพท์:  ๐ ๒๒๒๕ ๘๔๒๐ 
                ๐ ๒๒๒๕ ๙๔๓๐

 

 

            

 

  

 

ที่มาข้อมูล : วารสารนานมีนิวส์ ฉบับที่ 20 เดิอนกันยายน 2557 
ที่มารูปภาพ : http://www.qsmtthailand.org/

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 11:47:53 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ
วันที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2557

พระราชวังฤดูร้อนเดิม

      พระราชวังฤดูร้อนเดิม

 

                                                                    

                                               (ที่มา : http://www.his-bkk.com/th/china_tour/wonder_beijing_oct_2014.php)
             
             
             พระราชวังฤดูร้อนเดิม (อังกฤษ: Old Summer Palace) เป็นที่รู้จักในชื่อ ยฺเหวียนหมิง-ยฺเหวียน (พินอิน: Yuánmíng Yuán; อังกฤษ: Gardens of Perfect Brightness) เดิมมีชื่อเรียกว่า ยฺวี่-ยฺเหวียน (พินอิน: Yù Yuán; อังกฤษ: Imperial Gardens)
เป็นกลุ่มพระราชวัง และสวนหย่อม ตั้งอยู่บริเวณชานกรุงปักกิ่ง ห่างจากพระราชวังต้องห้ามไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร ในบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอ-ยฺเหวียน

             ยฺเหวียนหมิง-ยฺเหวียน สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นที่ประทับของจักรพรรดิราชวงศ์ชิง มีเนื้อที่ประมาณ 3.5 ตารางกิโลเมตร พระตำหนักส่วนใหญ่สร้างด้วยหิน ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก จากการออกแบบของ Giuseppe Castiglione และ Michel Benoist สถาปนิกเยซูอิตชาวอิตาลี [1]

             พระราชวังยฺเหวียนหมิง-ยฺเหวียน เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1707 ในรัชกาลจักรพรรดิคังซี เพื่อพระราชทานแก่พระราชโอรสองค์ที่สี่ ซึ่งต่อมาได้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิหย่งเจิ้น และทรงขยายอาณาเขตพระราชวัง ในปี ค.ศ. 1725 และได้มีการบูรณะอีกครั้งในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง และใช้เป็นพระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ เป็นเวลาถึง 150 ปี

              พระราชวังยฺเหวียนหมิง-ยฺเหวียน ถูกเผาทำลายในช่วงปลายของสงครามฝิ่นครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1860 โดยกองทหารฝรั่งเศส บุกเข้ายึดพระราชวัง ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิเสียนเฟิง ในกลางดึกของคืนวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1860 ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม ลอร์ดเจมส์ บรูซ แห่งเอลกิน ผู้สำเร็จราชการของอังกฤษ ได้สั่งการให้กองทหารอังกฤษ จำนวน 3,500 คน บุกเข้าเผาทำลายพระราชวัง เพื่อเป็นการตอบโต้ราชสำนักจีน ที่สั่งทรมานและประหารชีวิตนักโทษชาวยุโรป และอินเดีย จำนวน 20 คน [2] โดยใช้เวลาเผาทำลายถึง 3 วัน

              ในยุคปัจจุบัน ทางการจีนเคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างพระราชวังยฺเหวียนหมิง-ยฺเหวียนขึ้นมาใหม่ แต่ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจอนุรักษ์ซากปรักหักพังไว้ในสภาพเดิม

 

                                    

                                        (ที่มารูปภาพ : http://www.about108.com/2014/08/old-summer-palace.html)

ขอบคุณข้อมูลจาก :  http://th.wikipedia.org/wiki/พระราชวังฤดุร้อนเดิม

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 10:54:31 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ
วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ศิลปะการตัดกระดาษจีน

                                                 ศิลปะการตัดกระดาษจีน

 

                                           ศิลปะการตัดกระดาษจีน


         ประวัติศิลปะการตัดกระดาษแบบจีนศิลปะการตัดกระดาษแบบจีนเริ่มขึ้นสมัยซีฮั่น (西汉)ทว่าก่อนหน้าซึ่งยังไม่มีการคิดค้นกระดาษขึ้นมานั้น ก็มีความนิยมในการตัด ฉลุ เจาะ แผ่นทอง แผ่นหนัง ผืนผ้า แม้กระทั่งใบไม้ให้มีลวดลายต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้ว โดยในประเทศจีนมีการค้นพบศิลปะการตัดกระดาษครั้งแรกเมื่อปี 1967 เมื่อนักโบราณคดีค้นพบกระดาษที่ตัดแบจีน 2 ใบ แปะอยู่ในบริเวณสุสานโบราณเมืองทูลูฟัน ในเขตปกครอง ตนเองซินเกียง โดยกระดาษที่ใช้ทํามาจากใบปอ

        กระดาษ เป็นวัสดุที่ขึ้นราและเปื่อยง่ายยิ่งในสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นอย่างจีนตะวันออกเฉียงใต้และฝนที่มักจะตกในเดือน พฤษภาคมถึงมิถุนายน ด้วยแล้วยิ่งทําให้กระดาษเปื่อยและขึ้นราซึ่งศิลปะการตัดกระดาษพื้นบ้านนั้นเป็นศิลปะมวลชน ผู้คนจะไม่เก็บรักษาอย่างดีเหมือนศิลปะล้ําค้าอื่นๆ หากผุพังแล้วก็สามารถตัดขึ้นมาใหม่ได้ส่วนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนซึ่งแห้งแล้งนั้น กระดาษไม่ค่อยขึ้นราหรือเปื่อยยุ้ยจึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทําให้มีการค้นพบศิลปะการตัดกระดาษที่ทูลูฟันก็เป็นได้
        สมัยถังการตัดกระดาษมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากแล้ว ในบทกวีของตู้ฝูกล่าวไว้ว่า “น้ําอุ่นรินรดเท้าข้า กระดาษตัดมาชี้นําวิญญาณ” โดยในสมัยนั้น การใช้กระดาษตัดเรียกวิญญาณ เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ ชาวบ้าน การใช้กระดาษตัดเรียกวิญญาณนั้น ใช้กับวิญญาณที่ตายอย่างไม่ปกติ เช่น อุบัติเหตุ โดยส่วนใหญ่ผู้ทําพิธีต้องเกี่ยวข้องกับผู้ตายทางสายเลือดชาวจีนผู้เคยร่วมในพิธีเรียกวิญญาณเล่าว่าการใช้กระดาษเรียกวิญญาณนั้น จะต้องตัดกระดาษเป็นรูปเรือใบ นํามาห่อยอดข้าวเกาเหลียงและเมื่อถึงวันทําพิธีฝังศพ ให้ญาติ(หากเป็นลูกชายจะดีมาก) สวมผ้ากระสอบ ในมือถือกระดาษเรียกวิญญาณที่เตรียมไว้นี้ เดิน นําหน้าหีบศพ เพื่อเป็นการชักนําดวงวิญญาณให้หาทางกลับบ้านถูกและไปสู่สุขคติเมื่อทําพิธีฝังเรียบร้อย       
        นอกจากนี้ในสมัยถังยังใช้รูปตัดกระดาษเป็นแบบในการพิมพ์ผ้าโดยนํากระดาษหนามาตัดเป็นลวดลายต่างๆ ทาบลงบนผ้าแล้วจึงลงสีไปบนผ้าส่วนที่พ้นจากกระดาษออกมากลายเป็นลวดลายที่งดงามต่างๆ การตัดกระดาษสมัยซ่งพัฒนาถึงขั้นที่เริ่มอยู่ตัวกระดาษกลายเป็นสินค้าที่ผู้คนนิยมซื้อหาซึ่งเป็นการยกระดับศิลปะการตัดกระดาษด้วย เช่น กลายเป็นของขวัญ เป็นที่ตกแต่งโคมไฟ เป็นต้น ผู้คนในสมัยซ่งใช้กระดาษตัดในโอกาสที่หลากหลายขึ้น เตาเผาจี๋โจว ที่เจียงซีนํากระดาษตัดมาใช้เป็นลวดลายของเครื่องปั้นดินเผา เมื่อผ่านการเคลือบ และเผาก็จะงดงามมากขึ้น นอกจากนี้ลวดลายของศิลปะการพิมพ์ผ้าสี ขาว-ครามนั้นยังใช้การฉลุกระดาษให้เป็นลายก่อน แล้วจึงพิมพ์ลายลงบนผ้า
        สมัยหมิงและชิงนั้น เป็นช่วงที่ศิลปะการตัดกระดาษพัฒนาถึงขีดสุดการใช้สอยก็กว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะชาวบ้านนิยมใช้กระดาษตัดมาประดับตกแต่งบ้านกันอย่างแพร่หลายเช่น ที่ประตู หน้าต่าง หิ้ง หรือเพดาน ต่างก็มีการใช้กระดาษฉลุลายตกแต่งทั้งสิ้น  ซึ่งหากไม่นับช่างตัดกระดาษในสมัยหนานซ่งแล้ว หลังจากยุคนั้น ผู้ที่เชี่ยวชาญการตัดกระดาษแทบทั้งสิ้นเป็นหญิงชาวบ้าน โดยพวกเขาเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น  นอกจากนี้สัญลักษณ์หนึ่งของชาวจีนโบราณคือช่างปักหญิง ซึ่งคุณสมบัติที่สําคัญของช่างปักก็คือต้องสามารถตัดกระดาษแบบจีนได้นั่นเองดังนั้นการตัดกระดาษจึงกลายเป็นงานฝีมือที่ผู้หญิงจําเป็นที่จะต้องมีความเชี่ยวชาญ ความชํานาญในการตัดกระดาษยังเป็นสิ่งที่คนใช้ประเมินว่าใครจะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้ด้วย
วิธีการตัดกระดาษ
         การตัดกระดาษไม่ได้ใช้เครื่องจักร แต่เป็นงานฝีมือที่ทําจากมือ ซึ่งมีวิธีทําหลัก ๆ มีอยู่ 2 วิธี คือ ใช้กรรไกรตัด และ ใช้มีดตัดวิธีการใช้กรรไกรตัด หลังจากตัดเสร็จแล้ว จะนํากระดาษมาซ้อนกันหลายๆแผ่น(ไม่เกิน 8 แผ่น) แล้ว จึงตกแต่งด้วยมีดอีกครั้งให้เรียบร้อยส่วนการใช้มีดตัดนั้น จะต้องนํากระดาษที่จะตัดมาซ้อนๆกันก้อน แล้ววางลงบนดินน้ํามันหรือไขที่มีความอ่อนนุ่ม แล้วจึงค่อยใช้มีดเล็กมาเริ่มต้นตัดซึ่งวิธีใช้มีดตัดจะสะดวกกว่าใช้กรรไกรตัดเล็กน้อย เนื่องจากตัดแค่รอบเดียว
 ประโยชน์ใช้สอย
         ศิลปะการตัดกระดาษ เป็นศิลปะพื้นบ้านอันเป็นที่นิยมยิ่งอย่างหนึ่งในประเทศจีนศิลปะการตัดกระดาษมักใช้ในพิธีทางศาสนา และใช้ในการประดับตกแต่งสร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ ในอดีต มีการนิยมนํากระดาษมาสร้างเป็นรูปคน รูปสัตว์ในอิริยาบถต่างๆแล้วจึงนําไปเผาหรือฝังไปพร้อมกับผู้เสียชีวิตในงานฌาปนกิจศพซึ่งประเพณีเช่นนี้ อาจจะยังสามารถพบได้ในบางพื้นที่แถบชนบทของประเทศจีนนอกจากนั้นยังถูกนําไป ใช้ประดับตกแต่งในพิธีบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้าต่างๆ
         ปัจจุบันนี้ ศิลปะการตัดกระดาษใช้มากที่สุดในงานประดับตกแต่งเช่นกําแพง ประตู-หน้าต่าง เสาบ้าน กระจก และโคมไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องตกแต่งของขวัญของฝาก หรือตัวกระดาษที่ถูกตัดเรียบร้อยแลวนี้ยังสามารถที่จะใช้เป็นของขวัญของฝากได้อีกด้วย ในสมัยโบราณกระดาษที่ถูกตัดแล้วยังถูกนําไปใช้เป็นแม่แบบในการเย็บปักและการ พ่นสีอีกด้วย

 

ที่มาข้อมูล :http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9500000047596 
              http://tcm.dtam.moph.go.th/images/stories/kch004.pdf
ที่มารูปภาพ :http://thai.cri.cn/                                                    
              
 

 

เขียนเมื่อวันที่ เวลา 15:27:10 อ่านบทความนี้

ป้ายกำกับ
1 2 3 4 5 . . .17Next
  • หน้าแรก
  • |
  • เกี่ย่วกับสำนักพิมพ์
  • |
  • ข่าวสาร & โปรโมชั่น
  • |
  • หนังสือ
  • |
  • หนังสือขายดี
  • |
  • หนังสือใหม่
  • |
  • สมาชิก
  • |
  • นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
©2012-2021 สำนักพิมพ์ ทองเกษม. All right reserved.
Power by NAN MEE Co., Ltd.
ที่อยู่สำนักพิมพ์ ติดต่อเรา
สำนักพิมพ์ ทองเกษม
เลขที่ 146 ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร 10500

E-Mail

 editor@thongkasem.com

Telephone

 0 2648 8000

Facebook

 www.facebook.com/thongkasem

Twitter

 @Thongkasem_team